ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นว่านาทีนี้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค กำลังกลายเป็นการสื่อสารยุคใหม่ที่ไม่อาจปิดกั้นได้ การแสดงความคิดเห็นของคนในสังคมดังกล่าวหากสังเกตให้ดีจะมีความแหลมคมก้าวหน้า จนบางครั้งก็คาดไม่ถึง
ในการแสดงความคิดเห็นแต่ละครั้งที่สื่อออกมามีไม่น้อยที่ประกอบข้อมูลหลักฐานเปิดโปง ตอกย้ำความชั่ว ความเลว รวมไปถึงคำพูดที่ปรากฏว่าใครเคยทำแบบนั้นแบบนี้เมื่อในอดีตเอาไว้อย่างไร เรียกได้ว่าบันทึกเอาไว้แล้วนำออกมาประจานทุกเม็ด ไม่มีตกหล่น
สังเกตหรือไม่ว่าเวลานี้บรรดานักวิชาการ นักการเมืองดังๆ เริ่มไร้บทบาทในการชี้นำสังคมได้น้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่ได้รับความสนใจเลย โดยเฉพาะหากเป็นความคิดเห็นที่สวนทางกับความรู้สึกของสังคม ซึ่งในที่นี้จะรวมไปถึงสื่อมวลชนด้วย
สมัยก่อนไม่มีใครกล้าแตะต้องสื่อยักษ์ใหญ่ รวมทั้งสื่อด้วยกันเองจะหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ทั้งที่สื่อเหล่านั้นทำเรื่องไม่ถูกต้อง ก็สงวนไว้ไม่พูดถึง จนมีคำกล่าวว่า “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” ด้วยกันเอง แต่ตอนนี้เกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่สื่อพวกนี้จะตกเป็นเป้าหากทำเรื่องที่ไม่เข้าท่าเห็นแก่ประโยชน์ หรือบิดเบือนความจริง รวมทั้งรับใช้การเมือง ซึ่งสังคมในโลกออนไลน์รู้ทันและจะมีการวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน ด่ากันยับเยิน
เวลานี้การแสดงความเห็นทั้งในเฟซบุ๊ก ทั้งในเว็บไซต์ข่าวต่างๆล้วนแล้วแต่มีความฉลาดหลักแหลม ตอกหน้าพวกนักการเมืองห่วยๆ จนกลายเป็น “พวกกระจอก” ล้าหลังเสียมวยไปเลย และกระแสดังกล่าวหากสังเกตให้ดีจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน
ปรากฏการณ์ “เหนือเมฆ” ที่กำลังเกิดขึ้นกับช่อง 3 กำลังลุกลามไปถึง “ตระกูลมาลีนนท์” ที่เป็นเจ้าของ นาทีนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรกันแล้ว เพราะสังคมทั้งในโลกออนไลน์ที่เริ่มจุดกระแสวิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาก่อน กำลังขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนกระทบไปถึง ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รวมทั้งกระทบกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างคาดไม่ถึง
ในตอนแรกคงคิดว่าแค่แบนละคร “เหนือเมฆ 2” แม้ว่าคงจะมีเสียงวิจารณ์ในวันสองวันแรกเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะเงียบเสียงลงไป แต่กลายเป็นว่าผลออกมาเป็นตรงกันข้าม เรื่องราวกลับลุกลามไปไกล แน่นอนว่าคนที่ตกเป็นเป้าก็คือคนในรัฐบาลในฐานะที่จะต้องถูกชี้หน้าว่าเป็นคนสั่งการ กลายเป็นพวก “ร้อนท้อง” ทนไม่ได้ที่เนื้อหาในละครพาดพิงถึงความชั่วของนักการเมือง และการทุจริตจากการอนุมัติโครงการดาวเทียม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดเรื่องแบบนี้ก็ต้องนึกโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร อย่างช่วยไม่ได้
ร้อนแรงขนาดไหนลองคิดดูแล้วกัน ทำให้เฟซบุ๊กของ พานทองแท้ ชินวัตร ต้องออกมาร้องโอดโอย ยอมรับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกระทบกับครอบครัว และที่น่าสนใจก็คือเบื้องหลังของการแบนละครมาจาก “ใบสั่ง” ที่กล่าวหากันว่าเป็นคนในครอบครัวนี่แหละ
เวลานี้กระแสวิจารณ์ในสังคมก็ยังแผ่กว้างออกไปยังไม่จบง่ายๆ เพราะล่าสุดขนาดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็โดนเชื่อมโยงให้เห็นจริงไปด้วย รวมไปถึงหน่วยงานที่กำกับสื่อโทรทัศน์ อย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ยังโดนจวกฐานเอาเข้าจริงก็เป็นแค่ “เสือกระดาษ” ไร้ความหมาย จัดการหรือหวังพึ่งพากอะไรไม่ได้
กระแสที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่สไกจ์เข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยแล้ว “ดูถูก” คนกรุงเทพฯ ทำนองว่าแม้พรรคเพื่อไทยส่ง “เสาไฟฟ้า”ลงสมัครก็ได้รับเลือกตั้ง พร้อมทั้งสั่งให้ทุกคนหุบปากแล้วหันมาสนับสนุน พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ เป็นผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่องราวที่เกิดขึ้นกำลังถูกนำมาขยายผลออกมาข้างนอก จนเวลานี้กำลังพยายามตัดเกมไม่ให้ลุกลาม
แต่ในโซเซียลเน็ตเวิร์กกำลังแซว แชร์รูปและคำพูดล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน และแน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบทางด้านการเมืองตามมาเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มมาตั้งแต่ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ นับวันมีแต่เรื่องลบผุดเกิดขึ้นทุกวัน และแม้ว่าที่ผ่านมาเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่บงการอยู่ข้างหลังทุกเรื่องจะย่ามใจคิดว่าคุมกลไกในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ปิดปากได้หมด ทั้งสื่อของรัฐและสื่อหลักไม่ยอมเสนอข่าวทางลบ แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีสื่อทางเลือก และสังคมออนไลน์ดังกล่าวที่ฉีกกฎ สร้างกระแสวิจารณ์อย่างหนักหน่วง และมีแนวโน้มจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ขณะเดียวกันยังทำให้บรรดานักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายเริ่มกังวลมากขึ้น เพราะสื่อประเภทนี้มันคุมยากเสียด้วย
หากมองอีกมุมหนึ่งที่ผ่านมาสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร อาจถูกมองว่าเกิดมากับเทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่ แต่ในวันนี้และอนาคต ทั้งเขาและครอบครัว อาจถึงคราวจบเห่ หรือถูกเปิดโปงจากสื่อที่ว่านั้นให้สังคมได้รู้ทันและตาสว่างได้เหมือนกัน แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ถึงขึ้นทำลายลงได้ แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วมันไม่เป็นใจกับพวกเขา หรือแม้แต่นักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายทั้งปวงเลย!!