ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ ทักษิณ ชินวัตร ส่งน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี “หุ่นเชิด” สามารถผ่านการเดินทางมาได้ถึงปีกว่าอย่างสะดวกโยธิน สามารถกระชับอำนาจ แต่งตั้งโยกย้ายในหน่วยงานสำคัญในวงราชการ ทั้งพลเรือนและหน่วยงานด้านความมั่นคงได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายกองทัพที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสนิทสนม จนมองว่าเวลานี้ผู้นำเหล่าทัพกลายมาเป็นผู้ค้ำจุนรัฐบาลไปเสียอีก
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังก้าวเดินไปอย่างเพลินๆ อยู่นั้น กลับเริ่มมีปัญหากระแทกกระทั้นเข้ามาแบบไม่คาดหมายอย่างต่อเนื่อง จนตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าพิจารณาเฉพาะเรื่องหลักๆ เริ่มตั้งแต่ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กลับมาอีกครั้งหลังจากสะดุดไปพักหนึ่งจนไม่กล้าลงมติแก้ไขมาตรา 291 ในวาระ 3 เพื่อนำไปสู่การฉีกทิ้งฉบับเก่าแล้วยกร่างใหม่ทั้งฉบับ มาเปลี่ยนแผนใหม่เตรียมจะให้ลงประชามติ แต่ก็ติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย จนล่าสุดยังไม่กล้าสรุปและส่งเรื่องไปให้สถาบันการศึกษาไปตรวจสอบเนื้อหาในการแก้ไข ซึ่งความหมายก็คือซื้อเวลาออกไปอย่างไม่มีกำหนด
สาเหตุสำคัญที่ต้องถอยออกไปดังกล่าว ทั้งกรณีที่เปลี่ยนวิธีการมาเป็นการลงประชามติก่อนแก้ไข ไปจนถึงโยนให้สถาบันการศึกษารับไปดูแลเนื้อหา ก็ล้วนแล้วแต่มาจากกระแสต้านจาก “คนรู้ทัน” มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของ ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองห่วยๆ ที่ไร้ค่าในประเทศไทยเพียงไม่กี่คน ขณะที่ชาวบ้านไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้เดือดร้อนทุรนทุรายกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย
ด้วยกระแสต่อต้านที่มีแนวโน้มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ดังกล่าวนี่เอง ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแผนซื้อเวลาออกไปก่อน เพราะกลัวว่าจะพังก่อนกำหนด แต่ขณะเดียวกันเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็อาศัยช่วงเวลาที่เหลือ “เก็บเกี่ยว” ผลประโยชน์จากงบประมาณ “อภิมหาโปรเจกต์” ที่กำลังทยอยออกมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ ในลักษณะความหมาย “คิดบวก” คือบวกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20-30 นั่นแหละ ไม่ว่าออกรูปไหนก็มีแต่ได้กับได้
เรื่องใหญ่ถัดมาก็คือ กรณี “เสียดินแดน” แลกกับผลประโยชน์ด้านพลังงานกับกัมพูชา เป็นข้อกล่าวหาและข้อสงสัยกำลังถูกจับตาและดูแนวโน้มเข้าเค้ามากขึ้นทุกที และกรณีที่เกิดขึ้นหากรัฐบาลไม่แถลงท่าทีให้ชัดเจนโดยไม่ปฏิเสธขอบเขตอำนาจศาลโลกในทันที แน่นอนว่ามีแนวโน้มสูงว่าไทยจะต้องเสียดินแดนโดยเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือกว่า 3 พันไร่ และหนักยิ่งกว่านั้นก็คือจะเสียพื้นที่อีกนับล้านไร่เพราะกลายเป็นว่าเรายังไปยอมรับแผนที่ฝรั่งเศส-กัมพูชาในอัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนตามมาอีกด้วย นั่นก็หมายความว่าพื้นที่ในอ่าวไทยที่เป็นแหล่งพลังงานจะกลายเป็นของกัมพูชาอีกราว 3 ใน 4 กินพื้นที่มาถึงเกาะกูด จังหวัดตราดของไทยอีกด้วย
แน่นอนว่านี่คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่าจะเลือกแบบไหนถูกตอกย้ำว่าขายชาติ หลังจากเราเสียค่าโง่ไปแล้วจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตทั้งในเรื่องเอ็มโอยู ปี 43 และยอมเข้าสู่กระบวนการศาลโลกในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505
แต่ด้วยท่าที “ยอมแพ้” ต่อกัมพูชา และให้ “ทำใจ” เสียแต่เนิ่นๆ ของทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต มันกลับเพิ่มกระแสความโกรธให้กับคนไทยรักชาติอย่างรวดเร็วจนทำให้รัฐบาลและรัฐมนตรีดังกล่าวต้องรีบ “พูดจากลบเกลื่อน” อย่างรวดเร็ว ว่าจะสู้ในศาลโลกอย่างเต็มที่
ทั้งที่ผิดประเด็น เพราะสิ่งที่คนไทยต้องการก็คือ ให้ “ถอนตัวออกมาจากศาลโลก” ไม่ต้องให้ประเทศต้องเสี่ยงต่อการเสียดินแดน
ปัญหาการขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท ที่นอกจากทำให้ผู้ใช้แรงงานจำนวนไม่น้อยต้องตกงานแล้วยังมีปัญหาเรื่อง “ของแพง” ปะทุขึ้นมาอีกรอบ เนื่องจากข้ออ้างเรื่องต้นทุนพุ่ง ส่งผลให้ราคาสินค้าจำเป็นประเภทอาหาร อุปโภคบริโภคต่างพาเหรดปรับราคาไปล่วงหน้าแล้ว ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่สูงขึ้นทั้งค่าไฟ ราคาก๊าซหุงต้มที่ปรับราคาใหม่ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งเป็นภาระสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดย “ไม่เลือกสี”
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ กระแสต่อต้านการ “แบนละคร” เรื่อง “เหนือเมฆ 2” ทางช่อง 3 เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้สร้างกระแสความไม่พอใจทั่วประเทศ ทั้งใน “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” ที่ดังกระหึ่มรุนแรงมากขึ้นทุกวัน และลุกลามไปถึงความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลเนื่องจากถูกระบุว่าเป็นผู้สั่งการให้ระงับการออกอากาศ เพียงเพราะมีเนื้อหาพูดถึงการทุจริตเห็นแก่ตัวของนักการเมืองชั่วที่เกาะกินบ้านเมือง และที่สำคัญในละครดังกล่าวยังพูดถึง “โครงการดาวเทียม” ทำให้นึกถึง “คนหน้าเหลี่ยมๆ” ลอยเข้ามาทันที
แม้ว่ากระแสต่อต้านและความไม่พอใจของชาวบ้านในขณะนี้อาจจะยังไม่ถึงขึ้นทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องสั่นสะเทือนอย่างหนักก็ตาม แต่รับรองว่านับจากนี้เป็นต้นไป หากรัฐบาลยังไม่ปรับปรุงแก้ไข ยังทุจริตคอร์รัปชันเอาแต่พวกพ้อง ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ทักษิณและคนในครอบครัว ยังใช้คำว่า “ประชาธิปไตยจอมปลอม” มาหลอกต้มคนไทยต่อไป โดยที่ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข รวมไปถึงการยกดินแดนให้กัมพูชาเพื่อแลกกับสัมปทานพลังงานในอ่าวไทย ถึงตอนนั้นก็หลับตานึกภาพได้เลยว่าจะมีชะตากรรมแบบไหน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกทีแล้ว หลายเรื่องกำลังประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน!!