คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
“สงคราม” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นตรงจุดไหนของโลก หรือของประเทศไหน สิ่งที่เหมือนๆ กันคือ ความสูญเสียของเจ้าหน้าที่รัฐและของประชาชน นั่นคือ การบาดเจ็บล้มตายของทั้งสองฝ่าย การเกิดขึ้นของหญิงหม้าย เด็กกำพร้า การสูญเสียทรัพย์สิ้นทั้งภาครัฐและประชาชน การสูญเสียโอกาสทางสังคมและการพัฒนาพื้นที่ และสุดท้ายของผลพวงทางสงครามของความขัดแย้งคือ การเกิดขึ้นของ “เศรษฐีสงคราม”
เช่นเดียวกับ “สงครามประชาชน” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการทำสงครามในรูปแบบ “อสมมาตร” หรือ “กองโจร” ของกองกำลัง “อาร์เคเค” ภายใต้การชี้นำของขบวนการแบ่งแยกดินแดนของ “บีอาร์เอ็นฯ” ที่ยืดเยื้อยาวนานมา 9 ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ในอีกไม่กี่วัน นอกจากความสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งภาครัฐและประชาชนแล้ว ก็ได้สร้าง “เศรษฐีสงคราม” ขึ้นมาหลายกลุ่มด้วยกัน
กรณี “เรือเหาะ” หรือ “บอลลูน” ที่ใช้สำหรับตรวจการทางอากาศ ซึ่งร่วงหล่นลงมาจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก หลังจากที่ขึ้นปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยให้กับขบวนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาตรวจราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา คือตัวอย่างหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างของการเกิดขึ้นของ “เศรษฐีสงคราม” ซึ่งเป็นการค้ากำไรบนคราบเลือดและ ซากศพของเพื่อนมนุษย์ จากความขัดแย้งที่นำมาสู่การสู้รบ จนกลายเป็นสงครามประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เรื่อง “เรือเหาะ” ลำดังกล่าวเป็นประเด็นร้อนหลายครั้งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันแรกที่มีการรับมอบเรือเหาะเพื่อมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจาก “ผู้รู้” ทั้งหลายต่างตั้งข้อสังเกตถึงคุณสมบัติของเรือเหาะดังกล่าว ที่เริ่มจากราคาสูงเกินความเป็นจริง เป็นตัวต้นแบบของโรงงานที่ผลิตแล้วขายไม่ได้ มีการเปรียบเทียบและตั้งข้อสงสัยว่าเรือเหาะแบบเดียวกันที่บริษัทผู้ผลิตละครซื้อมาใช้ในกองถ่าย ราคาเพียง 30 กว่าล้าน แต่ทำไมของกองทัพไทยจึงซื้อมาในราคา 350 ล้านบาทซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตเป็นการคาดคะเน ผิดบ้าง ถูกบ้าง ด้วยความสงสัย และตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ “ค้ากำไร”เกินควร
คราวนี้มาตัดเรื่องราคาแพงเกินจริงออกไป เพราะโดยข้อเท็จจริงนั้นประชาชนย่อมรับรู้กันทุกคนว่า อะไรก็ตามตั้งแต่สากกะเบือ ไม้จิ้มฟัน จนถึงเรือรบ เรือเหาะ ถ้าจัดซื้อโดยส่วนราชการแล้วราคามักจะแพงกว่าของที่เขาซื้อ-ขายกันในท้องตลาดหลายเท่า จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่คนไทยส่วนใหญ่ “รับได้” อยู่แล้ว แต่หมายความว่าเมื่อ “ซื้อแพง” ไม่ว่ากัน แต่ต้องใช้ได้ ไม่ใช่ซื้อมาเพื่อทิ้งเพื่อขว้าง หรือซื้อเพราะหวัง “คอมมิชชั่น” เพียงอย่างเดียว
แต่นี่เรือเหาะลำนี้ ซึ่ง กองทัพ จัดซื้อด้วยวิธีพิเศษจาก “บริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชั่นแนล คูเปอเรชั่น จำกัด” ในราคา 350 ล้านบาท โดยตัวเรือหรือบอลลูนมีราคา 260 ล้านบาท กล้องส่งกลางคืนและกลางวัน 2 ตัวราคา 70 ล้านบาท ส่วนอีก 20 ล้านเป็นการจัดซื้ออุปกรณ์ภาคพื้นดิน เพราะเรือเหาะรุ่นนี้ แบบนี้ ต้องมี “พี่เลี้ยง” ภาคพื้นดินทั้งอุปกรณ์ รถยนต์และกำลัง เจ้าหน้าที่ร่วมปฏิบัติการ
เรียกกันว่าเป็นเรือเหาะรุ่น “โครตยุ่งยาก” ที่ไม่เหมะกับภูมิศาสตร์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งสภาพอากาศ และสภาพของภูมิประเทศ ซึ่งผู้ชำนาญการในกองทัพรู้กันทั้งกองทัพ แต่ก็ยังดันทุรังซื้อมาให้เป็นปัญหา และเป็น “ขี้ปาก” ของประชาชน
สรุปแล้วเรือเหาะรุ่นนี้ ซึ่งชื่อว่า “สกาย ดรากอน” มีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่ถูกส่งมาประจำการ เช่น ขึ้นลงด้วยความยากลำบาก พิสัยการบินไม่สูงเหมือนการโฆษณา อุปกรณ์ไม่มีคุณภาพเหมือนที่กล่าวอ้าง มีปัญหาในการตรวจรับของคณะกรรมการตรวจรับ จนกลายเป็นกรณี “ฉาวโฉ่” มาแล้วในการตรวจรับ
ล่าสุดมีการตั้งงบอีก 50 ล้าน เพื่อซ่อมบำรุงเรือเหาะลำนี้ ทั้งที่เกือบจะไม่ได้ “เหาะ” แต่ต้องมีการ “ซ่อม” เกิดขึ้น จนสุดท้ายทุกอย่างก็ “ประจาน” ตัวเองเมื่อเรือเหาะลำดังกล่าวร่วงลงพื้นดิน จนเจ้าหน้าที่ประจำเรือต้อง “สละเรือ” กระโดดหนี ปล่อยให้เรือเหาะร่วงหล่นพังยับเยิน เพราะเมื่อของมันไม่ดี ถึงอย่างไรก็เอาดีไม่ได้อยู่ดี
กรณีเรือเหาะรุ่น”สกาย ดรากอน” ลำนี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกับเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด “จีที 200” ที่ถูกสั่งซื้อในราคาเครื่องละนับล้านบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในภาคสนาม หรือในจุดตรวจบนท้องถนนใช้ตรวจหาวัตถุระเบิด ซึ่งสุดท้ายเมื่อมีการพิสูจน์กันอย่างจริงจัง จึงพบว่าจีที 200 กลายเป็นเพียง “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สมเหตุสมผลกับราคาที่กองทัพจัดซื้อมา ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นเรื่องการ “เสียค่าโง่” ที่อาจจะมี “เศรษฐีสงคราม” เกิดขึ้นกับการจัดซื้อ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังกลายเป็นข้อกังขาของประชาชน
จนมีการกล่าวหาว่า มีการ “ค้าสงคราม” เกิดขึ้นหรือไม่
นี่อาจจะเป็นเพียง 2 เรื่องที่สังคมเห็นอย่างถนัดถนี่ และ “เคลือบแคลง” สงสัยถึงความ “โปร่งใส” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า มีนอก มีใน ในการ “จัดซื้อ” หรือไม่ และตลอดเวลาที่มีคำถามจากภาคประชาชน สิ่งที่ภาคประชาชนได้รับคำตอบมักจะมีความ “กราดเกรี้ยว” จากผู้นำหน่วย มากกว่าที่จะตอบถึงข้อเท็จจริง
จนถึงวันนี้ผ่านมา 9 ปีของสงครามประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้น และถูกจับตามจากภาคประชาชนถึงความ “ไม่ชอบมาพากล” ของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ จนมีการพูดกันอย่างหนาหูว่า วันนี้มีการ “ค้าใบเสร็จ” เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ดังนั้นกรณี “เรือเหาะ สกาย ดรากอน” จำเป็นที่กองทัพต้องชี้แจงถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนคลายความเคลือบแคลงสงสัย นั่นคือประเด็นแรกที่เกี่ยวข้องกับศรัทราของประชาชนในพื้นที่ที่มีต่อกองทัพ และส่งผลถึงการที่ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับกองทัพในการดับไฟใต้
ส่วนประเด็นที่สองคือ ถ้าเห็นว่าเรือเหาะลำนี้ หมดสภาพ ไม่สามารถปฏิบัติการตามภารกิจได้ ก็ไม่ควรดันทุรังนำมาใช้ปฏิบัติการต่อไป เพราะวันนี้อาจจะสร้างความสูญเสียให้กับกำลังพลของเรือเหาะลำนี้ เพราะการตั้งงบซ่อมที่ไม่คุ้มค่าอาจจะทำให้มี “เศรษฐีสงคราม”กลุ่มใหญ่เกิดขึ้นอีก
เก็บเรือเหาะลำดังกล่าวเอาไว้เพื่อโชว์ในงาน “วันเด็ก” เพื่อไว้เตือนความทรงจำในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อที่ต่อไปจะได้ไม่ทำในสิ่งที่สร้างความเสื่อมเสีย และความเคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนเป็นการ “บ่อนทำลาย” หน่วยงานและบุคคลให้เสียหาย
เพราะวันนี้ภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังมองว่าที่ “สงคราม” ไม่จบเป็นเพราะมีการ “ค้าสงคราม” หรือไม่ เนื่องจาก 9 ปีของไฟใต้มีการตรวจสอบพบว่ามี “เศรษฐีสงคราม” ทั้งที่เป็น “ประชาชน” และ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
และนี่คืออีกหนึ่ง “ปม” ของปัญหาในการดับไฟใต้ที่แท้จริง