“นพดล” โต้ “ชวนนท์” บิดเบือน ยันสมัยตัวเองเป็น รมว.ต่างประเทศ ยุค “สมัคร” ไม่ได้ขายชาติ แต่ปกป้องดินแดน แถลงการณ์ร่วมศาลปกครองก็ตัดสินแล้วว่าเป็นโมฆะนำไปอ้างอิงไม่ได้ ทำมึนไม่รู้ “ปึ้ง” บอกคดีพระวิหารไทยมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง ปัด “รัฐบาลปู” สมยอมเขมร เมินพันธมิตรฯ ไม่ให้รับอำนาจศาลโลก อ้างถ้าไม่สู้คดีเสียเปรียบกัมพูชา เรียกร้องอย่าเอาคดีปราสาทพระวิหารมาจุดกระแสคลั่งชาติ ปฏิเสธที่จะตอบถ้าแพ้คดีรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร อ้างใช้ทีมกฎหมายที่รัฐบาล ปชป.ตั้ง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตามที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าปัญหาคดีในศาลโลก กรณีข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร เริ่มเกิดตั้งแต่นายนพดลไปทำคำแถลงการณ์ร่วม ทำให้กัมพูชาได้สิทธิขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น นายชวนนท์ไม่รู้ข้อเท็จจริง พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น อันที่จริง เรื่องปราสาทเขาพระวิหารและข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ทุกฝ่ายควรร่วมกันแก้ปัญหาและรักษาความสัมพันธุ์กับเพื่อนบ้านเอาไว้ให้ดี ไม่ควรนำมาโจมตีกัน ที่ผ่านมา ตนเองเชื่อว่าทุกรัฐบาลรักชาติ และต้องการปกป้องดินแดนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด นอกจากนี้ ข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพ หรือกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็ทำดีที่สุดเพื่อปกป้องดินแดนกันทุกคน ขอยืนยันว่านายชวนนท์บิดเบือนและใส่ร้ายตัวตนและพรรคพลังประชาชน จึงขอชี้แจง 3 ประเด็นดังนี้
1. ช่วงก่อนรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัครและตนเป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาท ที่ศาลโลกตัดสินว่าเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น รัฐบาลนายสมัครและตนเป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน ในส่วนของตัวปราสาทพระวิหารนั้นกัมพูชาเป็นเจ้าของ เขาจึงมีสิทธินำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม
2. คำแถลงการณ์ร่วมนั้น ศาลปกครองได้ตัดสินว่าเป็นโมฆะและไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปใช้อ้างอิงใดๆ
3. มติคณะกรรมการมรดกโลก ปี 2551 ก็ระบุชัดเจนว่าห้ามอ้างอิงและใช้ประโยชน์ในคำแถลงการณ์ร่วมตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมจึงไม่มีผลใดๆ กับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ในศาลโลกในปัจจุบัน
ส่วนในเรื่องคดีที่กัมพูชายื่นตีความเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารที่อยู่ในศาลโลกขณะนี้นั้น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ใช้ทีมทนายความและทีมกฎหมาย ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ โดย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็สนับสนุนการทำงานของทีมกฎหมายอย่างเต็มที่ และไม่มีการสมยอมกับกัมพูชาตามที่นายชวนนท์กล่าวหา
รวมทั้งไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา อีกด้วย เพราะคงไม่มีใครชั่วพอที่จะสมยอมกับต่างชาติ เพื่อให้ประเทศตัวเองแพ้คดีในศาลโลก ซึ่งรัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การที่ฝ่ายค้านและคนบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและจุดกระแสคลั่งชาติเพื่อหวังผลการเมืองภายในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงเสนอให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบแบบครบทุกด้าน โดยจะทำเอกสารชี้แจงในทุกประเด็นจนทำให้นักโกหกและนักบิดเบือน ไม่มีที่ยืนในสังคม
ส่วนที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ระบุว่าคดีการตัดสินของศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยมีแต่เจ๊ากับเจ๊งเท่านั้น นายนพดลตอบว่า ไม่ทราบว่านายสุรพงษ์พูดเช่นนั้นจริงหรือไม่ เชื่อว่านายสุรพงษ์ทำงานหนัก และต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องดินแดน สิ่งที่นายสุรพงษ์พูดไม่ได้สะท้อนว่าไม่เอาจริง ยืนยันว่ารัฐบาลเอาจริงเต็มที่
เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสนอให้ไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตัดสินคดี นายนพดลตอบว่า ประเทศไทยเป็นภาคีกฎบัตรสหประชาชาติ จึงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาล ก่อนหน้านี้สมัยรัฐบาล พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ก็ยอมรับและระบุว่า จำใจต้องปฏิบัติตาม แม้ไม่เห็นด้วย เชื่อว่า 2550 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้ก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งคดีนี้กัมพูชายื่นต่อศาลโลกตีความตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งไทยก็ต่อสู้คดีมาตลอด ถึงวันนี้หากประเทศจะถอนตัวออกมาก็จะทำให้ศาลโลกรับฟังความจากกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ไทยเสียเปรียบ ดังนั้นการเดินทางไปต่อสู้คดีดีกว่าไม่ไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลตัดสินในทางลบ รัฐบาลต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายนพดลตอบว่า รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยสนับสนุนทีมกฎหมายที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตั้งขึ้นมาให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่มีการเปลี่ยนทีมกฎหมายเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน และทีมกฎหมายชุดนี้มีความสามารถ เก่งเป็นที่ยอมรับ ไม่อยากให้พูดว่า ถ้าแพ้คดีแล้วรัฐบาลต้องลาออก เรายังหวังว่า ผลคดีที่ออกมาจะออกมาในทางที่ดี ขอเรียกร้องกลุ่มพันธมิตรฯ พูดความจริง อย่าพูดความเท็จ อย่านำประเด็นปราสาทพระวิหารมาจุดกระแสคลั่งชาติเพื่อทำลายรัฐบาล และเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม เชื่อว่าทุกคนรักชาติเท่ากัน ยืนยันรัฐบาลจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรต้องรอดูเดือนกันยายน