ผ่าประเด็นร้อน
ในช่วงโอกาสปีใหม่แบบนี้เชื่อว่าหลายคนคงได้เห็นคำทำนายของนักพยากรณ์ที่ต่างออกมาวิเคราะห์ทำนายดวงของคนนั้นคนนี้จะรุ่งหรือร่วง ซึ่งบางครั้งการคาดการณ์เหมือนไม่ต่างจากการตัดแปะปะติดปะต่อเอามาจากข่าวของสื่อมวลชนสำนักต่างๆด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะนักการเมืองคนสำคัญว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายหรือดีอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ดีหากเลือกพิจารณากันแบบเฉพาะเจาะจงในทางการเมืองก็ต้องหนีไม่พ้นบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ถูกวิจารณ์อย่างมากในช่วงปี 55 ที่ผ่านมา นั่นคือ ทักษิณ ชินวัตร กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเฉพาะหากติดตามเส้นทางในอดีตและต่อเนื่องไปถึงอนาคตว่ามีแนวโน้มออกมาอย่างไร
เริ่มจาก ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลา 4-5 ปีต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าก็คงยังต้องพูดถึงเขาอย่างแน่นอน เพราะถือว่ายังมีบทบาทสำคัญ ทั้งต่อรัฐบาลและการเมืองไปอีกนาน
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาได้เห็นสัญญาณบางอย่างที่เริ่มเห็นแนวโน้ม “ถดถอย” มากขึ้นเรื่อยๆจนไม่อาจ “คุมเกม” ได้เกือบเต็มร้อยเหมือนเดิมอีกแล้ว ซึ่งอาการดังกล่าวได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นหุ่นเชิดสายตรงในครอบครัวเข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ แต่ผลงานที่ออกมาในช่วงปีกว่าที่ผ่านมากลับทำได้อย่าง “น่าผิดหวัง” ไม่คุ้มค่า เสียแรงที่ตั้งความหวังเอาไว้ เพราะผลที่ออกมามันก็ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลที่กล่าวหาเป็นพวกอำมาตย์ก่อนหน้านี้ เคยว่าคนอื่นว่าดีแต่โม้ ดีแต่โกง แต่กลายเป็นว่าตัวเองโม้กว่า กู้มาโกงมากกว่า
โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ ข้าวของแพง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หรือแม้แต่โครงการรับจำนำข้าวที่แม้มี “หน้าม้า”ออกมายืนยันว่าขายข้าวได้ราคาสูง แต่ถามว่าต้องรออีกกี่เดือนกว่าจะได้เงิน ขณะเดียวกันยังทำให้ตลาดค้าข้าวทั้งในและต่างประเทศแทบจะย่อยยับ และจากการคาดการณ์ของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญยังระบุอีกว่าในปีนี้(2556) จะยิ่งเกิดปัญหามากกว่าเดิม โดยเฉพาะกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.)อาจจะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่อาจระบายข้าวนำเงินมาหมุนในการรับจำนำข้าวรอบใหม่ได้ทัน
นอกเหนือจากนี้ในการแต่งตั้งบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายล้วนแล้วแต่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม ไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ แต่เป็นการคัดเลือกตามความพอใจของ “นายใหญ่” คือ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งเมื่อรัฐบาลเกิดความล้มเหลว ไม่อาจสร้างความประทับใจจากประชาชนทั่วไปได้เท่าที่ควร ภาพลบที่สะท้อนกลับมาก็ต้องกระทบกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสโลแกนที่แปะเอาไว้ตรงหน้าผากว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” ยังจดจำไม่ลืมเลือน
อีกทั้งความรู้สึกของชาวบ้านที่เริ่มตกผลึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าทักษิณ อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ทุกเรื่อง ที่สำคัญมีแต่ความล้มเหลว ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นผลประโยชน์เฉพาะตัวของเขาล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เพราะที่ผ่านมาก็พิสจน์ให้เห็นแล้วว่าความล้มเหลว-ห่วยแตกไม่ได้เป็นเพราะรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นอุปสรรคก็เป็นอุปสรรคเฉพาะ ทักษิณ และคนโกงเท่านั้น
และที่ผ่านมาความตื่นตัวของชาวบ้านสามารถรับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง อย่างน้อยก็มีสื่อทางเลือกมากขึ้นทั้งประเภททีวีดาวเทียม โดยเฉพาะกำลังเป็นยุคของโซเชียลมีเดีย ที่มีการสื่อสาร บันทึกข้อมูลหลักฐานมัดตัว เคยพูดหรือทำอะไรเอาไว้สามารถย้อนกลับมาค้นหาวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างรวดเร็วและส่งต่อกันไปในวงกว้าง ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะสื่อของรัฐหรือสื่อเสื้อแดงที่กรอกหูอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อก่อน
หันมาอีกด้านหนึ่งในฐานะที่ถูกพูดถึงไม่แพ้กันก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลและ ทักษิณ ชินวัตรอย่างเข้มข้น แต่ถ้าให้พิจารณาในภาพรวมที่เห็นถือว่าไม่ได้โดดเด่น ทำได้น่าผิดหวัง เพราะบางครั้งยังไม่มีความเด็ดขาด ไม่ได้สร้างความหวังให้เป็นทางเลือกใหม่ หากระบอบทักษิณ พ้นไป สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องอยู่ในสภาวะดังกล่าวก็เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเขาใช้โอกาสในการสร้าง “ภาวะผู้นำ” เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ผ่านไปแล้วเมื่อครั้งที่เป็นรัฐบาลกว่าสองปี ไม่รู้จักใช้กฎหมายจัดการกับความไม่ถูกต้องอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีจุดยืนในการรักษาอธิปไตยของชาติกรณีปัญหาเขตแดนและปัญหาปราสาทพระวิหาร จนทำให้ถูกมองว่าศักดิ์ศรีของชาติถูกย่ำยีจากเพื่อนบ้าน
ที่สำคัญอีกไม่นานราวต้นปีหน้าจะมีการตัดสินของศาลโลกในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารมีแนวโน้มว่าเราอาจจะต้องสูญเสียอธิปไตยสูงไม่น้อย และที่ผ่านมารัฐบาลของเขาก็ไปยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลดังกล่าวตั้งแต่ต้น
ถ้าถามถึงเรื่องการทุจริตในรัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่แตกต่างกัน แม้เขาอาจไม่โกงเอง แต่คนรอบข้าง ทั้งในพรรคเดียวกัน รวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลไม่ต่างจากการแบ่งโควตากันบริหารไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมันช่วยไม่ได้ที่ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธา ไม่ได้สร้างความหวังใหม่ เป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต
ดังนั้นถ้าให้สรุป ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อพิจารณาจากผลงานและความเคลื่อนไหวในอดีตที่ล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบไม่ได้ต่างกัน อีกคนเห็นแก่ตัว คิดแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ขณะที่อีกคนก็มัวแต่เล่นการเมือง ถือว่าที่ผ่านมาก็ได้สร้างความผิดหวัง ใช้โอกาสเปลือง และหากกล่าวอย่างไม่เกินเลยก็ต้องบอกว่าทั้งสองคนล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความปั่นป่วน แต่ขณะเดียวกันในทางการเมืองถือว่าพวกเขากำลังจะถูกก้าวข้ามผ่านพ้นไป โอกาสที่จะกลับมารุ่งอีกครั้งถือว่าริบหรี่เต็มที !!