ผ่าประเด็นร้อน
แค่ม็อบ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ในนามกลุ่ม “องค์การพิทักษ์สยาม” เมื่อวันก่อนยังทำให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับไข้ขึ้นหวาดผวากันไปทั่ว จากที่เคยเหยียดหยามทำนองว่าเป็นม็อบจัดตั้ง คงระดมกันมาได้ไม่กี่พัน ความหมายก็คือเป็น “ม็อบกระจอก” เพราะจากคำพูดของ ว่าที่รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงคนใหม่อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้สัมภาษณ์กล่าวเอาไว้ทำนองนั้นจริงๆ รวมไปถึงคนอื่นๆ ในรัฐบาลก็พูดในทำนองเดียวกัน แต่กลายเป็นว่ามาถึงวันนี้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปคนละมุม
เพราะแม้ว่าจำนวนคนที่เข้าร่วมชุมนุมกับ เสธ.อ้าย แค่หลักหมื่น แต่เมื่อพิจารณาจากอารมณ์ของคนที่เข้ามาดูแล้วมันคึกคัก เอาจริงเอาจัง ทำให้ต้องมาประเมินกันใหม่ และเมื่อได้ยินคำประกาศออกมาจากแกนนำว่าจะนัดชุมนุมใหม่ในปลายเดือนนี้อีกรอบ รวมทั้งทิ้งเป็นปริศนาข่มขวัญเอาไว้ว่าอาจยกระดับการชุมนุมเป็นการ “ขับไล่” รัฐบาลทำให้ต้อง “หนาว”กันไปตามๆ กัน
จากเดิมที่ไม่เคยให้ราคา ทำเป็นหลับตามองผ่าน แต่มาวันนี้ไม่ว่าใครในรัฐบาลต่างก็ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อย่าประมาท” เป็นอันขาด แม้ว่าคนที่ออกมาพูดจะมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นต่างกัน อย่างเช่นพวกแกนนำเสื้อแดง อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ที่พลาดเก้าอี้รัฐมนตรีและออกมาฟูมฟายโวยวายก็ต้องการสื่อให้เห็นว่าต่อไปจะต้องใช้มวลชนคนเสื้อแดงมาช่วยถึงตอนนั้นก็จะรู้สึกอะไรประมาณนั้น
นี่ว่ากันเฉพาะม็อบเสธ.อ้าย ที่มากันแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” พวกรวมพล “คนทนไม่ไหว” ที่เมื่อจับอาการแล้วยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน เพียงแค่นี้รัฐบาลเริ่มมีอาการจุกอกแล้ว
แต่ปัญหาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับรองว่าไม่ใช่มีแค่เรื่องม็อบคนทนไม่ไหวเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะหลังจากเดือนตุลาคมจะต้องเจอกับปัญหาสารพัดทั้งเรื่องเก่าและใหม่ที่สุมกันเข้ามา เท่าที่เห็นอยู่ตรงหน้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คือศึกซักฟอกของฝ่ายค้าน ที่จะมีการยื่นญัตติในวันที่ 9 พฤศจิกายน และจองวันอภิปรายเอาไว้ในวันที่ 25-26 เดือนเดียวกัน และนาทีนี้ฝ่ายค้านก็ยังอุบไต๋เอาไว้เป็นความลับว่าจะซักฟอกใครบ้าง อาจจะจับ นายกฯปู ขึ้นเขียงเพียงคนเดียวก็ได้ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบในทุกเรื่อง
อย่างไรก็ดี ถึงอย่างไรก็คาดเดากันได้ว่าในที่สุดแล้วฝ่ายค้านก็ต้องยื่นซักฟอกเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่แม้ว่าคราวนี้ยังอยู่ยงคงกระพันไปได้สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการสงวนเอาไว้เป็น “หนังหน้าไฟ” รอชี้แจงเรื่องความล้มเหลวในโครงการจำนำข้าว ซึ่งเชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องหลักในศึกซักฟอกที่กำลังจะมาถึงแน่นอน เรื่องปัญหาค่าครองชีพที่แพงหูฉี่ กำลังเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
สังเกตได้จากโพล แม้จะเป็น “อีสานโพล” ที่สำรวจพี่น้องในพื้นที่ภาคอีสานที่เป็นฐานเสียงของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แม้ว่าในภาพรวมรัฐบาลสอบผ่าน แต่เมื่อถามถึงเรื่องเศรษฐกิจปัญหาปากท้อง รัฐบาลกลับ “สอบตก” ด้วยคะแนนกว่าร้อยละ 53 เรื่องแบบนี้แหละที่ถือว่าเป็น “จุดตาย”
เรื่องโครงการจำนำข้าว ที่แม้ว่าผ่านมาจะพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่าชาวนาขายข้าวได้ราคาสูง มีการขนม็อบออกมาต่อต้านไม่ให้ยกเลิก แต่มาวันนี้ก็ต้องถามความจริงกันว่าชาวนาที่เอาข้าวมาจำนำนั้นผ่านมาสามสี่เดือนแล้วได้เงินมาบ้างแล้วหรือยัง และการจำนำในปีต่อไปจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย เพราะข้าวเก่ายังระบายไม่ออก เนื่องจากต่างประเทศไม่มีใครซื้อข้าวแพง หากต้องกู้มาโปะก็ต้องมีเสียงโวยวายตาม เคยกล่าวหาเสียดสีคนอื่นว่า “ดีแต่กู้” แล้วตัวเองละเป็นไง
นี่ยังไม่นับเรื่องค่าแรงที่ประกาศว่าในวันที่ 1 มกราคมปีหน้าจะปรับเพิ่มเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ แต่ปัญหาก็คือเวลานี้ฝ่ายพวกผู้ประกอบการในนามของสภาอุตสาหกรรมกำลังปั่นป่วนกันหนัก เพราะมีเสียงโวยวายออกมาว่ารัฐบาลมัดมือชก หาเสียงบนความเดือดร้อนของพวกเขา เพราะฝ่ายที่ได้ประโยชน์คือพรรคการเมืองได้คะแนนเสียง แต่คนที่ต้องจ่ายคือผู้ประกอบการ หากไม่จ่ายหรือไม่มีปัญญาก็กลายเป็นผู้ร้าย
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกจากเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลกระทบมาถึงไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และที่ผ่านมาก็เริ่มส่งสัญญาณออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วจากปัญหาการส่งออกที่ลดลง
ขณะเดียวกัน ในช่วงปลายปี หากทักษิณ ชินวัตร เกิดอาการ “หน้ามืด” คิดอาศัยช่วงชุลมุนคิดจะ “ปิดเกมเร็ว” ด้วยกันสั่งลุยเสนอกฎหมายล้างความผิดให้ตัวเอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงตอนนั้นรับรองดูไม่จืดความวุ่นวายจะเกิด และอาจถึงขั้นที่ “เอาไม่อยู่” แต่ที่แน่ๆวิกฤติใหม่ที่กำลังจะมารออยู่ตรงหน้าก็คือกรณีของ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ วราเทพ รัตนากร ว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกสองปีเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และกรณีดังกล่าวอาจลากเอานายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ พังกันทั้งรัฐบาลก็ได้ อีกไม่นานก็ได้ลุ้นอีกรอบแล้ว!!
