ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าเมื่อวันก่อนผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร เสียงไว้วางใจนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น มีจำนวนมากที่สุดถึง 308 เสียง ขณะที่รัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก 3 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้รับการโหวตไว้วางใจท่วมท้นไม่แพ้กัน แม้ว่าจะลดหลั่นลงมาบ้าง
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเรื่องของคะแนนที่ออกมา ซึ่งเชื่อว่าหลายคนมองเห็นตรงกันว่าไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าการไว้วางใจที่มากมายดังกล่าวจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการ “ฟอกขาว” สร้างความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้กับคนพวกนี้ เพราะต่อให้ฝ่ายค้านมีหลักฐานการทุจริต ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจนแค่ไหนก็ตามก็ไร้ความหมาย เพราะไม่ใช่ภาพสะท้อนที่แท้จริง ตรงกันข้ามการมีเสียงโหวตสนับสนุนมากเท่าใด มันก็เหมือนปาหี่ เป็นการ “สร้างภาพ” ระดมเสียงสนับสนุนเพื่อให้สังคมเห็นว่าตัวเองไม่มีความผิด สมควรได้รับความไว้วางใจให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
ด้วยระบบรัฐสภาที่พิกลพิการ ไม่ใช่เป็นสภาตรวจสอบถ่วงดุลตามระบบแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ตามเจตนารมณ์แต่อย่างใด แต่กลายเป็นว่ารัฐสภาในปัจจุบันกลายเป็น “ลูกน้อง” หรือแม้แต่เป็น “สภาทาส” ก็ยังเคยถูกกล่าวหามาแล้ว เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรม
โดยเฉพาะหากพิจารณาจากตั้งแต่ตัวประธานรัฐสภาต่อเนื่องมาจนถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนพวกนี้มีสถานะไม่ต่างจาก “ลูกน้อง” ของนายกรัฐมนตรี และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคนพวกนี้ยอมเป็นลูกน้องรับใช้ “โจร” ที่หลบหนีคุกหนีตะรางอย่างทักษิณ ชินวัตร บางคนถึงกับยอมรับสถานะความเป็น “ขี้ข้า” หน้าตาเฉย
ขณะเดียวกัน หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นก็ยังมีข่าวออกมาตรงกันของสื่อหลายสำนักว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์มาต่อว่าประธานรัฐสภา คือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รวมไปถึงรองประธานสภาผู้แทนคนอื่นในทำนองว่า ไม่ปกป้องน้องสาวของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายโจมตี และมีการพาดพิงมาถึงตัวเอง นอกเหนือจากนี้ยังได้โฟนอินเข้ามาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยพูดกับ ส.ส.ตำหนิในเรื่องดังกล่าว
นั่นเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของสภาและ ส.ส.ขาดความอิสระ ไม่ได้ยึดผลประโยชน์ของประชาชนอย่างตรงไปตรงมาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงตรงข้ามกับความรู้สึกของสังคม แม้ว่าคนทั่วไปจะมองว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านในเรื่องการทุจริตโครงการจำนำข้าวที่มีการนำเสนอหลักฐานค่อนข้างชัด ชี้ให้เห็นถึงการทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลบกพร่องอย่างไร ก็ไม่เป็นผล เพราะคนพวกนี้ไม่ได้สนใจ ยิ่งทุจริตบกพร่องเท่าใด ก็ยิ่งต้องมีการระดม ส.ส.มายกมือสนับสนุนให้ท่วมท้นกว่าเดิม เพื่ออ้างว่ามีเสียงไว้วางใจมากมาเป็นเครื่องการันตี
กลไกของสภาสำหรับประชาชนที่ติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจเชื่อว่าหมดความเชื่อถือไปนานแล้ว อาจมองเป็นเพียงแค่ “สีสันห่วยๆ” ก็เป็นได้
แต่สิ่งที่อาจเป็นความหวังสูงสุดน่าจะมาจากองค์กรอิสระที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือแม้แต่กระทั่งศาลยุติธรรมที่ยังพอพึ่งพาได้
โดยเฉพาะกรณีของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำลังตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลทั้งจากหลักฐานที่ทางฝ่ายค้านส่งไปให้ ทั้งที่เป็นหลักฐานเส้นทางการโอนเงิน รวมไปถึงการถอดเทปคำอภิปรายในสภาของฝ่ายค้าน และล่าสุด ป.ป.ช.ได้รับเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน เมื่อได้ข้อสรุปก็จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาต่อไปมีการแจ้งข้อกล่าวหา และเรียกมาชี้แจง ซึ่งในที่สุดหากมีการ “ชี้มูลความผิด” ในภายหลัง นี่แหละเรื่องใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่า ยิ่งลักษณ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีในทันที และเมื่อส่งถึงศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็มีสิทธิ์ติดคุกได้เหมือนกัน ทำเป็นเล่นไป
กรณีดังกล่าวใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะหากพิจารณากันเฉพาะกรณีโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมาทาง ป.ป.ช.ได้เคยมีการทำหนังสือท้วงติงให้รัฐบาลทบทวนแก้ไขมาแล้ว และที่ผ่านมาก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษามีการเรียกข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่เคยสนใจไม่เคยรับฟัง ยังมั่นใจเสียงในสภาที่สนับสนุนท่วมท้นดังกล่าว
ดังนั้น หากพิจารณาจากหลักฐาน และปัจจัยแวดล้อมทั้งที่ปรากฏและจากหลักฐานเพิ่มเติมที่ ป.ป.ช.ต้องใช้อำนาจตามกฎหมายเรียกมาจากสถาบันการเงินและการตรวจสอบตัวตนของบริษัทผีเพื่อยืนยันตัวบุคคลให้เชื่อมโยงถึงกัน เชื่อว่ามีแนวโน้มสูงที่จะได้เห็นการพิสูจน์ที่ตรงไปตรงมาชี้ให้เห็นว่าเส้นทางการโกงนั้นเดินไปอย่างไร และเชื่อมโยงไปถึงใคร เพราะทุกอย่างต้องพิสูจน์กันด้วยหลักฐาน และที่สำคัญการพิสูจน์ความถูกผิด การโกงไม่ใช่ตัดสินกันด้วยการเลือกตั้ง หรือการยกมือแบบปาหี่ของ ส.ส.ที่เป็นลูกน้องของตัวเอง!!