ผ่าประเด็นร้อน
ต้องยอมรับว่าคาดไม่ถึงจริงๆ กับการชุมนุมของกลุ่ม “องค์การพิทักษ์สยาม” ที่นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่นัดชุมนุมใหญ่ครั้งแรกวันที่ 28 ตุลาคมที่สนามม้านางเลิ้ง เพื่อแสดงพลังต่อต้านรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนั้นคงคิดว่าคงมากันแบบ “หร็อมแหร็ม” ไม่กี่พันคน แต่ที่ไหนได้มากันจนเต็มจนล้นอัฒจันทร์ต้องมานั่งกันอยู่ข้างล่างนับจำนวนคนแล้วรับรองว่าต้องสองหมื่นขึ้นแน่นอน
ขนาดฝ่ายรัฐบาลใช้วิธีเตะตัดขา โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีใช้วิธีสร้างความสับสนทำลายความเชื่อมั่นเดินทางมาพบกินข้าง ซดไวน์กับ เสธ.อ้าย แล้วถ่ายรูปออกสื่อซึ่งก็ได้ผลภาพออกมาเป็น “ปาหี่” ลดความน่าเชื่อถือ ทำให้จำนวนคนเข้าร่วมลดลง แต่ขนาดที่ว่าลดลง เพราะไม่มั่นใจยังมามากถึงขนาดนั้น แสดงให้เห็นว่า “คนทนไม่ไหว” มันมีปริมาณที่น่าจับตาจริงๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า “พลัง” ของมวลชนของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามนั้นไม่ธรรมดา ก็ต้องพิจารณาจากปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้าม นั่นคือทั้งจากฝ่ายรัฐบาล แกนนำคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ล้วนออกมาในโทนเดียวกันนั่นคือ “อย่าประมาท” เป็นอันขาด ขณะเดียวกันยังสังเกตได้จาก “วิชามาร” ที่งัดออกมาใช้สารพัดทั้งใต้ดินและบนดินผ่านกลไกรัฐ และที่ขาดไม่ได้ก็คือใช้วาจาใส่ร้ายป้ายสี เช่น เป็นพวกม็อบรับจ้างบ้างละ ม็อบทำลายประชาธิปไตย ทำลายบรรยากาศ มีบางพรรคการเมืองหนุนหลังบ้างละ หรือแม้แต่ม็อบของอำมาตย์สารพัดที่นำมาดิสเครดิต
แต่กลายเป็นว่ายิ่งมีการกล่าวหา ใส่ร้ายทำลายมากเท่าไรผลที่ออกมากลับกลายเป็นตรงกันข้าม อย่างคราวก่อน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยปรามาสเมื่อมีการชุมนุมครั้งแรกว่า ม็อบแค่หลักร้อย ผลก็คือเป็นการ “เรียกแขก” ได้ชะงัด
นั่นขนาดเป็นการชุมนุมกันครั้งแรกทำกันแบบเก้ๆกังๆ โดยเฉพาะ “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ ที่เชื่อว่าขึ้นเวทีในฐานะคนนำม็อบเป็นครั้งแรก แต่เมื่อทำได้อย่างที่เห็นด้วย “ภาพนักเลง” คำพูดที่ไม่มีลีลาซับซ้อน มันก็ได้ใจคนไม่น้อย
ประกอบกับเมื่อได้เห็นคนที่นั่งประกบอยู่ข้างๆ อย่างเช่น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เพียงคนเดียวแค่ชื่อก็รับประกันความหวั่นไหวให้กับฝ่ายตรงข้ามได้ชะงัดนักแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับต้องใช้ เครือข่าย “ทหารแก่” ในกองทัพอย่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จนต้องเดินเกมขู่จัดม็อบชน อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ารัฐบาล “นั่งไม่ติด”
สำหรับการนัดชุมนุมครั้งใหม่ของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามในวันเสาร์ที่ 24-25 พฤศจิกายน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า แน่นอนว่าต้อง “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้ว หากพิจารณาจากจำนวนมวลชนที่เข้าร่วมในวันชุมนุมครั้งแรกเมื่อปลายเดือนก่อน และเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมจากฝ่ายรัฐบาล ได้เห็นพฤติกรรมที่น่ารำคาญ การทุจริต ผลาญเงินงบประมาณจากสารพัดโครงการประชานิยมทั้งจำนำข้าว รถคันแรก หรือแม้แต่นโยบายขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท ที่กลายเป็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยหาเสียง แต่คนที่ต้องจ่ายเงินเป็นเอกชน ก็อาจเป็นชนวนของคำว่ารวมพลคนทนไม่ไหวเพิ่มปริมาณเข้ามาอีก
อีกทั้งล่าสุด กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ทำผลงานแก้ตัวให้เข้าตานายด้วยการเร่งถอดยศปลดออก ร้อยตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มันก็ยิ่งสร้างรอยแค้นให้กับบรรดา “แม่ยก” เรียกคะแนนสงสารได้ไม่เบา สังเกตได้จากจำนวนปริมาณ “แฟนๆ” ที่ร่วมฟังเกาะติดขอบเวที “ผ่าความจริงฯ” ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีคนเข้าร่วมจนล้นมากที่สุดเท่าที่เคยจัดมา แม้ว่าจะเป็นถิ่นของเลขาฯ พรรคอย่าง เฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่ทำให้เสียหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศและองค์ประกอบอื่นๆ รับรองว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
ล่าสุด วันที่ 12 พฤศจิกายน ผลการประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ออกมาได้ทันจังหวะเวลาพอดี แม้ว่าบรรดาแกนนำจะไม่เข้าร่วม เพราะเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอ อีกทั้งยังจำเป็นต้องเดินสายเปิดเวทีให้ความรู้เรื่องปฏิรูปการเมืองทั้งระบบต่อไป แต่ก็ให้กำลังใจการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม และไม่ขัดข้องหากใครจะเข้าร่วม ทุกอย่างเป็นไปตามความสะดวก ตามอัธยาศัย
ดังนั้น เมื่อองค์ประกอบครบ บรรยากาศเป็นใจ ทุกอย่างมาบรรจบเพราะในช่วงเวลาดังกล่าวทางฝ่ายค้านกำลังเปิดศึกซักฟอกถล่มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในสภาพอดี ทำให้ “ม็อบรวมการเฉพาะกิจ” รวมพล “คนทนไม่ไหว” ในวันเสาร์ที่เริ่มดีเดย์วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายนจะต้องคึกคัก แม้ว่าจะมาไม่ถึงเป็นล้าน แต่รับรองว่า “หลักแสน” เป็นไปได้สูง และจำนวนแค่นี้ก็ “หนาว” แล้วไม่ใช่หรือ!!
