ข้อมูล เรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลคือ นายกฯ นกแก้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบุญทรง เตยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โกหกคนไทยตลอดมาว่า รัฐบาล สามารถระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว โดยผ่านการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ไปได้แล้ว 7.2 ล้านตัน
เพราะข้อมูลในเรื่องการระบายข้าวที่นายประเสริจ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส. ยะลา นำมาแสดงต่อสภาฯ ตลอดจนผู้ชมและฟังการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในวันนั้น ชี้ให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 10 เดือนของปีนี้ ไม่มีการส่งข้าวโดยรัฐบาลออกไปต่างประเทศเลย แม้แต่ตันเดียว
เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ เพราะนายประเสริฐนำบันทึกการส่งมอบข้าวที่ท่าเรือของหอการค้าไทย ที่ต้องมีตัวแทนไปตรวจสอบทุกครั้งที่มีการส่งข้าวออกไปทางเรือ มาแสดงประกอบการอภิปรายด้วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.จังหวักพิษณุโลก เป็นผู้ไขคำตอบว่า ข้าวที่รัฐบาลโกหกคนไทยว่า ส่งออกไปแบบจีทูจีนั้น แท้จริงแล้ว ไม่ได้ออกไปไหน แต่หมุนเวียนอยุ่ในประเทศนี่แหละ โดยขายให้กับเจ้าของบริษัทสยามอินดิก้า นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” โดยไม่มีการประมูล
บริษัทสยาม อินดิก้านั้นก็คือ บริษัท เพรสสิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นผู้ส่งอกข้าวรายใหญ่ที่สุด ในสมัยรัฐบาล นช.ทักษิณ ที่มีนายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่ากากรระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นรายเดียวที่ประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวในยุคนั้นไปถึง 1.7 ล้านตัน แต่ไม่สามารถส่งออกข้าวจำนวนนี้ได้ และบริษัทตกเป็นหนี้ธนาคารหลายแห่ง เป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท รวมทั้งธนาคารกรุงไทย และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น ซึ่งธนาคารฮ่องกงฯ ได้ฟ้องล้มละลายบริษัทเพรสสิเดนท์ และนายอภิชาตซึ่งศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553
บริษัท เพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาตยังเข้าไปพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในช่วงที่นายวัฒนาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) จนทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนากับพวกรวม 7 คน ซึ่งมีบริษัทเพรซิเดนท์ฯ นายอภิชาต และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง รวมอยู่ด้วย ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าว
จากข้อมูลการอภิปรายของ นพ.วรงค์ การกลับเข้ามาทำมาหากินกับโครงการรับจำนำข้าวรอบนี้ นายอภิชาตมาใช้ชื่อบริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP ตั้งอยู่ที่นครกวางเจา ประเทศจีน โดยในเอกสารรับมอบอำนาจบริษัทดังกล่าว ระบุว่า นายรัฐนิธ โสจิรกุล เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทลงนามมอบอำนาจให้กับนายนิมล รักดี มีที่อยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ให้เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทนในการซื้อขายข้าวตามสัญญารัฐต่อรัฐ จำนวน 5 ล้านกิโลกรัม โดยจากการตรวจสอบแล้วพบว่านายรัฐนิธมีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี ผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของนางระพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยานายอริสมันต์ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีบ้านเอื้ออาทร ร่วมกับนายอภิชาต
ส่วนนายนิมลที่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทจีนนั้น ตรวจสอบพบว่าคนในพื้นที่ จ.พิจิตร เรียกว่า “เสี่ยโจ” เป็นมือขวาให้กับนายอภิชาติ หรือ“เสี่ยเปี๋ยง” และเมื่อตรวจสอบจากเอกสารของ ป.ป.ช.พบว่า นายนิมลนั้นเป็นคนของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง และถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตรับจำนำข้าว ในปี 46 - 47 สมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำ
สำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดังแทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ
นพ.วรงค์ได้นำคลิปวิดีโอมาแสดงให้เห็นถึงการพบปะกันระหว่าง “เสี่ยเปี๋ยง” กับ นช. ทักษิณ พร้อมกับตั้งสมมุติฐานว่าอดีตนายกฯ เป็นผู้ชักใยอู่หลักกระบวนการทั้งหมด หรือไม่
เมื่อเร็วๆ นี้เอง นช.ทักษิณให้สัมภาณ์นิตยสารฟอร์บส์ว่า เขาเป็นคนคิดโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาเอง รัฐบาลของน้องสาว เป็นแค่คนรับไอเดียเอาไปทำ
ฝ่ายรัฐบาล ไม่สามารถหักล้างพยารนหลักฐาน ที่นายประเสริฐ และนายแพทย์วรงค์ นำม่าแสดง และอภิปรายไว้ในสภาฯได้ นายบุญทรง ซึ่งโกหกมาโดยตลอดว่า รัฐบาลขายข้าวจีทูจีได้แล้ว 7.5 ล้านตัน พูดได้แค่เพียงว่า ฝ่ายค้านใช้ข้อมูลเก่า ใช้จิตนาการมากเกินไป
ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ โดยรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัตในฐานะโฆษกข้าว ซึ่งรับหน้าเสื่อโกหกแทนรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในเรื่องจีทูจี ไม่กล้าปฏิเสธตรงๆ ว่า ข้อมูลของฝ่ายค้านไม่จริง จึงใช้วิธีเอาสีข้างเข้าถูว่า เมื่อขายข้าว ได้เงินก็หมดหน้าที่ กรมฯ หรือกระทรวง ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรับรู้ว่า ผู้ซื้อจะว่าจ้างใครดำเนินการแทน จะเป็นบริษัทที่มีตัวตน หรือเคยถูกแบล็กลิสต์ หรือมีความผิดมาก่อนหรือไม่ เพราะของออก เราได้เงินมาแล้วก็จบเรื่อง
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เคยให้คำจำกัดความ โครงการรับจำนำข้าวไว้ว่า เป็นโครงการ Built-in Corruption คือ ออกแบบมาเพื่อให้มีการโกงกินกันทุกขั้นตอน การอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การโกงกินกันในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับซื้อข้าวของโรงสี ไปจนถึงการระบายข้าวนั้นทำกันอย่างไร ใครเป็นผู้รับประโยชน์ เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายของ นช. ทักษิณ กับ เสี่ยเปี๋ยง ที่ นพ.วรงค์ นำมาแสดงนั้น มันคือการมาบรรจบพบกันของต้นทางกับข้อต่อสุดท้ายของวงจรแห่งการโกงกิน การที่รัฐบาลไม่สามารถหักล้างโต้ตอบการอภิปรายของฝ่ายค้านได้เลย แม้แต่เรื่องเดียวก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงที่มีหลักฐานปรากฎชัด จนไม่สามารถปกปิดได้