ปธ.พิทักษ์สยาม ยื่นผู้ตรวจฯ สอบรัฐใช้ พ.ร.บ.มั่นคง ปาแก๊สน้ำตาปราบม็อบ ละเมิดสิทธิมวลชน พร้อมชงศาลรัฐธรรมนูญดูขัดกฎหมายหรือไม่ ย้ำเลิกชุมนุมหวั่นสูญเสียเพิ่ม ยันองค์การฯ ยังอยู่ดูแลคนถูกจับต่อ แต่ลั่นเลิกแล้ว ขอรักษาคำพูด ก่อนยื่น ป.ป.ช.ไต่สวนฟัน “ปู-อดุลย์”
วันนี้ (30 พ.ย.) ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม และภาคีเครือข่าย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณีการประกาศการบังคับใช้กฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กระทำขัดต่อบทบัญบัติรัฐธรรมนูญ โดยพล.อ.บุญเลิศกล่าวว่า การที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในการควบคุมการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนเดินทางมาชุมนุม มีการใช้แก๊สน้ำตากับผู้ชุมนุม จึงเห็นได้ว่าการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด เป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาตรวจสอบและเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่ากรณีการประกาศ การบังคับใช้กฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กระทำขัดต่อบทบัญบัติรัฐธรรมนูญหรือไม่
“ก่อนการชุมนุมทางกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอชุมนุมไปถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งรัฐบาลก็ไมได้ขัดขวาง จนมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในวันที่ 22 พ.ย.ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวต่ำศักดิ์กว่ารัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิประชาชนชุมนุมได้โดยสงบปราศจากอาวุธ ทำให้พื้นที่การชมุนุมถูกตัดเป็น 2 ท่อน คนที่มาจากต่างจังหวัดถูกสกัดกั้นด้วยวิธีการต่างๆ เมื่อเข้ามาได้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยวิธีรุนแรงมีการใช้แก๊สน้ำตา 2-3 ครั้ง มีเอางูพิษมาปล่อย ทำให้ผมต้องประกาศยุติการชุมนุมเพราะเกรงประชาชนจะได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้ จึงขอให้ผู้ตรวจพิจารณาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ” พล.อ.บุญเลิศกล่าว
ส่วนกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามจะมีการชุมนุมอีกหรือไม่ พล.อ.บุญเลิศกล่าวว่า องค์การพิทักษ์สยามยังอยู่ โดยจะดูแลผู้ชมุนุมที่ถูกจับกุมต่อไป ส่วนการจะเคลื่อนไหวต่อไปหรือไม่มีคณะทำงานที่จะพิจารณา แต่สำหรับตนต้องยุติบทบาทเพราะได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า “เสธ.อ้ายได้ตายไปแล้ว” ก็อยากจะรักษาคำพูดคำไหนเป็นคำนั้น
พล.อ.บุญเลิศยังปฏิเสธให้ความเห็นกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า ช่วงปีใหม่จะมีการเผชิญหน้ากันของม็อบเหลืองและม็อบแดงว่า “ผมเป็นคนโง่ ประเมินอะไรก็ไม่ถูก”
ด้านนายศรีราชากล่าวว่าจะรีบตรวจสอบ หากพบว่าคำร้องดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการได้ก็จะเร่งดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว พล.อ.บุญเลิศก็ได้เดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวน ชี้มูลความผิด และดำเนินคดีอาญาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพล.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว กับพวกในกรณีเดียวกัน โดยเห็นว่านายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน เคารพสิทธิเสรีภาพ การแสดงออก การชุมนุมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนจนได้รับบาดเจ็บกลับไม่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ จึงถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามกฎหมาย ขณะที่ ครม.เป็นผู้เห็นชอบให้มีการประกาศใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ส่วน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย และพวก ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงที่ได้รับนโยบายมาจากฝ่ายการเมือง เมื่อเกิดเหตุใช้ความรุนแรงกับประชาชน กลับเพิกเฉยไม่หยุดยั้งการระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน และกลับปล่อยให้มีการดำเนินการเช่นเดิมหลายครั้งถือว่าเป็นการทำร้ายประชาชนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547