xs
xsm
sm
md
lg

พธม.ชูสปิริต “เสธ.อ้าย” ยุติม็อบ แนะเก็บบทเรียน-เอาผิด “รบ.ปู” ลุอำนาจ เชื่อสถานการณ์สุกงอมปีหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โฆษกพันธมิตรฯ ยกย่องสปิริต เสธ.อ้าย ยุติชุมนุม หลีกเลี่ยงสูญเสียชีวิต พร้อมให้กำลังใจทำภารกิจต่อ ระบุ “รัฐบาลปู” ลุแก่อำนาจ หลายกรณี แนะฟ้องเอาผิด เป็นบรรทัดฐานการต่อสู้ของมวลชน เก็บบทเรียนปรับยุทธวิธีต่อสู้ ย้ำแนวทางพันธมิตรฯ มุ่งให้ปัญญาเพื่อปฏิรูปใหญ่ เชื่อสถานการณ์สุกงอมปีหน้า



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ''นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์'' ให้สัมภาษณ์  

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์รายการ “ยามเช้าริมเจ้าพระยา” ทางเอเอสทีวี เมื่อเช้าวันที่ 26 พ.ย.ถึงการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) และภาคีเครือข่ายเมื่อวันเสาร์ที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ต้องยกย่องคารวะจิตใจของทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมในวันนั้นที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และยกย่องสปิริตของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ตัดสินใจประกาศยกเลิกการชุมนุม แม้ว่าจะมีทางเลือกที่จะใช้วิธีการที่สุ่มเสี่ยงเพื่อเป็นทีเด็ดในการเคลื่อนไหว แต่ท่านก็ไม่ฝืน ยอมเสียสละยุติการชุมนุม เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อ นับเป็นจิตใจที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำมวลชน

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า อยากให้กำลังใจทุกคนที่ไปร่วมชุมนุม และเห็นว่า การกระทำที่ผ่านมาของรัฐบาลได้ลุแก่อำนาจ กระทำเกินกว่าเหตุมาก จึงมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่จะฟ้องร้องได้หายกรณี ตั้งแต่การใช้พื้นที่เกินความจำเป็น การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไม่มีเหตุอันควร การใช้แก๊สน้ำตาโดยไม่เป็นลำดับขั้นตามหลักสากล และใช้แก๊สน้ำตาหมดอายุ ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้มาชุมนุม กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ชุมนุมอย่างไม่สมควร

ดังนั้น แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะได้ชัยชนะในทางยุทธิวิธี ก็เป็นชัยชนะชั่วครั้งชั่วคราว แต่พ่ายแพ้ทางความชอบธรรมแล้ว เพราะได้กระทำความผิดชัดเจน และจะติดตัวไปในอนาคต การชุมนุมของ อพส.เป็นเงื่อนไขที่เป็นประโยน์ต่อการชุมนุมของประชาชนในอนาคต เพราะจะเป็นบรรทัดฐานว่าการกระทำที่เกินกว่าเหตุของรัฐมีบทลงโทษอย่างไร มีการยึดคอมพิวเตอร์ ยึดกล้องของสื่อมวลชน ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกทำกัน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลได้ก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม และในอนาคตรัฐบาลจะเพลี่ยงพล้ำ แม้ว่าหมากตานี้ดูเหมือนประชาชนจะเพลี่ยงพล้ำก็ตาม

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ว่าการชุมนุมครั้งนี้จะมีจุดอ่อน แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปวิพากษ์วิจารณ์อีกแล้ว เราเก็บบทเรียนมาคุยกันเองภายในดีกว่า ชั่วโมงนี้ต้องให้กำลังใจ พล.อ.บุญเลิศ ที่มีสปิริตสูง และให้กำลังใจมวลชนที่เสียสละภารกิจของ พล.อ.บุญเลิศ ยังมีต่อ ทั้งเรื่องการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การต่อสู้คดีกับรัฐบาลอีกหลายยก เพื่อวางบรรทัดฐานการต่อสู้เพื่อมวลชนในอนาคต ขอให้กำลังใจมวลชนทุกคนทั้งที่ไปชุมนุมและไม่ไปชุมนุม ซึ่งเป็นมวลชนที่ตื่นรู้ หลังจากนี้ เราจะต้องก้าวย่างอย่างรอบคอบและรัดกุม และปรับเปลี่ยนยุทธวิธี ไม่มีใครที่จะย่ำอยู่กับที่ให้ตัวเองต้องเพลี่ยงพล้ำอีก

แกนนำพันธมิตรฯ จึงเลือกใช้วิธีการเดินสายให้ความรู้ประชาชนเพราะตระหนักถึงความสำคัญของการตื่นรู้ และรอให้สถานการณ์สุกงอม เราไม่ต้องการให้เป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนที่อยู่คนละขั้ว แต่เราต้องการให้เป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชน 60 กว่าล้านคนกับนักการเมืองไม่กี่ร้อยคน พันธมิตรฯประกาศชัดเจนว่า มี 3 เงื่อนไขที่เราจะออกมาชุมนุม คือ การแก้ไขกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพระราชอำนาจ และการตรากฎหมายล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก ไม่ใช่ว่า 2 เรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ แต่เราเห็นว่าเรื่องอื่นๆ ก็มีวิธีการอื่นที่จะต่อสู้ และถ้าสู้แล้วยังป็นเพียงการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เราจะไม่ทำส่วนอีกเงื่อนไขหนึ่ง คือเมื่อประชาชนตื่นรู้และสถานการณ์สุกงอมถึงขั้นที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เราก็จะออกมา

ส่วนที่มีคำถามว่า หากรอให้สถานการณ์สุกงอม จะรอนานเกินไปหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า จะไม่รอนานเป็นสิบปี ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีสถานการณ์ที่สุกงอมหลายประเด็น หลายเงื่อนไขที่เราเห็น แต่เรายังไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้ แต่เราได้ประเมินตลอดเวลา จอขอให้ประชาชนอย่างเพิ่งหมดกำลังใจ ขอให้กำลัวใจ พล.อ.บุญเลิศ ทำภารกิจต่อไป แม้พันธมิตรฯ จะไม่ใช้วิธีการเดียวกันกับองค์การพิทักษ์สยาม แต่เราเห็นเจตนาดีของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ตระหนักถึงปัญหาของบ้านเมือง และแนวทางการต่อสู้ที่ไม่เหมือนกันน่าจะมีประโยชน์สำหรับภาคประชาชน เพราะรัฐบาลต้องใช้วิธีการรับมือที่ต่างกัน และยากที่จะลุแก่อำนาจอีก แกนนำพันธมิตรฯ จะพูดถึงก้าวต่อไปอย่างรอบคอบและมั่นคง รอสถานการณ์สุกงอม ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน

คำต่อคำ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์ “ยามเช้าริมเจ้าพระยา”

พิธีกร - หลังจากที่เราได้สรุปเหตุการณ์และเห็นการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว มันก็มีคำถามจากประชาชนว่าบทเรียนที่ได้มันจะทำให้เกิดการยิ่งไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ที่ต่อไปเขาจะมาแสดงออกซึ่งสิทธิ จะออกมาชุมนุมเรียกร้องอะไร มันจะกลายเป็นไม่กล้า กับอีกส่วนหนึ่งก็จะพกความรุนแรงติดไม้ติดมือมาด้วยถ้าจะมีการชุมนุม มันจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นไหม

ปานเทพ - ก่อนอื่นผมอยากจะอธิบายว่า การชุมนุมวันที่ 24 ของพี่น้องประชาชนภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการยกย่องคารวะในจิตใจของทุกคนที่มีความปรารถนาดีกับบ้านเมือง ประการที่ 2 ที่เราต้องได้รับบทเรียนที่มีความสำคัญ คือว่า กรณีที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ท่านมีทางเลือกที่จะใช้วิธีที่สุ่มเสี่ยงในการใช้ทีเด็ดที่ท่านคิดว่าจะมีการเคลื่อนไหว แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่ท่านคาดหวังเอาไว้ แต่ท่านก็ไม่ฝืน ด้วยการยอมเสียสละ ในการที่ประกาศยุติการชุมนุม เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย ไม่ให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตและเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชน ดังนั้น ต้องถือว่าเป็นจิตใจอันยิ่งใหญ่ของผู้นำในการนำมวลชน ไม่ว่าการชุมนุมตลอดวันอาจจะมีข้อบกพร่องผิดพลาดอย่างไร แต่การตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ที่ตัดสินใจยุติการชุมนุม ผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ต้องได้รับการยกย่อง คารวะในน้ำใจของผู้นำมวลชน ที่ไม่พามวลชนไปเสียชีวิต บาดเจ็บ ล้มตาย ไปมากกว่านี้ ในการข่าวที่ พล.อ.บุญเลิศ ได้รับ

ประการที่ 3 ที่ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไป อยากให้กำลังใจพี่น้องประชาชนทุกคนที่เข้าไปร่วมชุมนุมในวันนั้น ว่า ผมเชื่อว่า การกระทำที่ผ่านมาของฝ่ายรัฐบาล เป็นฝ่ายที่ลุแก่อำนาจ และกระทำเกินกว่าเหตุไปมาก ดังนั้น ช่องโหว่ในทางกฎหมายมีมากเหลือเกินที่อาจจะถูกฟ้องกลับ และมีความผิดทางกฎหมายได้หลายประการ เริ่มตั้งแต่กระบวนการในการใช้พื้นที่เกินความจำเป็น การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไม่มีเหตุอันควร รวมถึงการใช้แก๊สน้ำตาโดยไม่เป็นลำดับขั้นตอนตามมาตรฐานสากล มีภาพที่ต้องพูดถึงว่าแก๊สน้ำตาที่เอามาใช้นั้นเป็นแก๊สน้ำตาที่หมดอายุ มีการใช้ความรุนแรงเข้าไปทำร้ายผู้ที่เข้ามาชุมนุม รวมถึงการกักขังหน่วงเหนี่ยวในเหตุอันไม่สมควร

สิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่า วันนี้ 10.00 น.ทางองค์การพิทักษ์สยาม น่าจะไปดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดต่อไป ดังนั้น แม้ว่าจะดูเหมือนฝ่ายรัฐบาลได้ชัยชนะทางยุทธวิธี ก็จะเป็นชัยชนะเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่รัฐบาลก็ได้สร้างความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในความชอบธรรมไปเรียบร้อยแล้ว และการพ่ายแพ้มันหมายถึงว่ามีการกระทำความผิดอย่างชัดเจน และเป็นความผิดที่ต้องติดตัวต่อไปในอนาคตด้วย

ดังนั้น ผมเชื่อว่า การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามจะเป็นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อการชุมนุมของภาคประชาชน ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม สีใดก็ตาม ในอนาคตว่าการกระทำที่ไม่เป็นอันดับขั้นตอน และกระทำเกินกว่าเหตุของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีบทลงโทษอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงการกักขังหน่วงเหนี่ยวและการยึดคอมพิวเตอร์ หรือกล้อง ของเจ้าหน้าที่สื่อมวลชน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าสมควรถูกประณาม ไม่มีใครที่ไหนในโลกเขาใช้วิธีนี้ ตราบใดที่ยังเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตย

สิ่งเหล่านี้ผมเชื่อ่วารัฐบาลได้ก้าวเข้าสู่ความเสี่ยง ถ้าจะพูดถึงหมากกระดาน แม้ว่าบางตาภาคประชาชนอาจจะดูเหมือนเพลี่ยงพล้ำ แต่ความเป็นจริงได้ปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลรุกคืบเข้ามาในจุดที่สุ่มเสี่ยงยิ่งกว่าเดิม เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสถานการณ์ต่อไปฝ่ายรัฐบาลจะเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำต่อไปในอนาคตทางนิตินัย หรือนิติรัฐ

และในขณะเดียวกัน ประชาชนที่เขาจะชุมนุมต่อไปในอนาคต เขาอาจจะไม่ยึดแนวทางเดิมที่เป็นบทเรียนว่าฝ่ายรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตระบัดสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาในการชุมนุม เพราะฉะนั้นกลเม็ด หรือกลยุทธ์ในการชุมนุมต่อไป ไม่มีใครอยู่กับที่หรอกครับ ทุกคนเขาก็มีกระบวนทัศน์ และมีพัฒนาการในการที่จะเดินต่อไป

อย่างไรก็แล้วแต่ หลายคนอาจจะมองว่าการชุมนุมที่ผ่านมาเป็นจุดอ่อน มีจุดอ่อนอยู่หลายจุด ซึ่งผมไม่ปฏิเสธว่ามีจุดอ่อน เพียงแต่ว่าบางที ในบางสถานการณ์เช่นนี้ ผมคิดว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องไปวิพากษ์วิจารณ์จุดอ่อนอีกแล้ว ชั่วโมงนี้ต้องให้กำลังใจทั้ง เสธ.อ้าย ที่มีสปิริตสูงในการตัดสินใจชั่วโมงสุดท้าย ชั่วโมงนี้ต้องให้กำลังใจมวลชนที่เสียสละ เพราะว่าภารกิจของ พล.อ.บุญเลิศ ยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้นะครับ ขั้นตอนต่อไป พล.อ.บุญเลิศ จะต้องก้าวเข้าไปสู่การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในขณะนี้ และยังบาดเจ็บอยู่ รวมถึงพี่น้องประชาชนอีก 130 กว่าคน ที่ต้องถูกดำเนินคดีความ

มีภาคที่พูดถึงว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ท่านยังต้องถูกดำเนินคดีความอีก และยังต้องสู้กับรัฐบาลอีกหลายกรณีที่ต้องมีคดีความ ต่อสู้เพื่อวางบรรทัดฐานในการต่อสู้ภาคประชาชนต่อไปในอนาคต ดังนั้น ผมเชื่อว่า แม้ว่าหลายคนเห็นจุดอ่อน แต่ผมอยากให้ทุกคนให้กำลังใจ เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้วมันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรถ้าเราจะมาพูดถึงจุดอ่อนของการเคลื่อนไหวมวลชนครั้งนี้ สู้เราเก็บบทเรียนทั้งหลายมาคุยกันเอง ไม่ต้องให้ฝ่ยภาครัฐรู้หรอกครับว่าเรามีความคิดเห็นอย่างไร เราเห็นจุดอ่อนอะไร และเราจะกล้าเปลี่ยนแปลงอะไรต่อไปในทางสาธารณะ ไม่มีความจำเป็นหรอกครับ เพราะฝ่ายรัฐบาลที่มีความอำมหิตโหดเหี้ยม และมีความลุแก่อำนาจ เขาก็ฟังเราอยู่ในขณะเดียวกัน ดังนั้นผมอยากให้แปรพลังในเวลาตอนนี้ ให้กำลังใจทุกคน ทั้งที่ไป และไม่ไป ผมทราบดีว่าที่ไม่ไปส่วนหนึ่งก็รอแกนนำพันธมิตรฯ ที่ไปส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีความทนไม่ไหวและมีความรักชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นมวลชนที่ตื่นรู้แล้ว สำคัญว่าเวลานี้เราจะต้องมีความก้าวย่างอย่างรอบคอบ รัดกุม และมีความตระหนักถึงสถานการณ์ที่รัฐบาลอยู่ในภาวะที่ลุแก่อำนาจยิ่งกว่าเดิม การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนจำเป็นต้องมีเอกภาพต่อไปในอนาคต

ขณะเดียวกัน ผมอยากจะเรียนว่า ไม่มีใครใช้ยุทธวิธีที่ย่ำอยู่อย่างเดิม ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายภาคประชาชน แม้แต่พันธมิตรฯ ในทุกๆ ปีเราก็มียุทธวิธีในการชุมนุมที่ไม่เหมือนกัน สูตรของการชุมนุม และสูตรของการรับมือการชุมนุมนั้นไม่มีอะไรตายตัว ทุกฝ่ายมีพัฒนาการทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการชุมนุมคงไม่มีใครที่จะไปย่ำอยู่กับที่เพื่อให้ตัวเองนั้นเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำหรือเสียเปรียบต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ผมอยากจะเรียน แม้กระทั่งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ตัดสินใจเดินสายอยู่ทั้งหมดในเวลานี้ ก็เพราะเราเห็นตระหนักความสำคัญของการตื่นรู้ของประชาชน กับสถานการณ์ที่สุกงอม ทั้งสองเงื่อนไขนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในยามที่สถานการณ์สุกงอม ถ้าประชาชนยังหลงในการต่อสู้ในเชิงขั้วอำนาจอยู่ เรากำลังจะพูดถึงฝ่ายระบอบทักษิณที่มีอยู่ 15 ล้านเสียง ไม่ว่า 15 ล้านเสียง จะมาเพราะว่าเขาเชื่อในศรัทธาของระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขามีอามิสสินจ้าง หรือเขาหลงผิดจากการปลุกระดมจากการโฆษณาชวนเชื่อ ก็สุดแท้แต่ แต่เรากำลังพูดถึงขั้วอำนาจอีกขั้วหนึ่งเช่นเดียวกันที่มีประชาชนอีก 12-13 ล้านคน ที่เลือกประชาธิปัตย์ หรืออาจจะมีมากกว่านั้นที่เขากลางๆ ไปเลือกพรรคการเมืองอื่น หรือไม่ตัดสินใจ อีก 20 กว่าล้าน ลักษณะแบบนี้การต่อสู้ในเชิงขั้วอำนาจต่อไปในอนาคต ผมคิดว่าเราต้องมาทบทวนกันให้ดี สถานการณ์ที่สุกงอมมันไม่ควรจะเป็นสถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนที่อยู่คนละขั้วอำนาจกัน

สถานการณ์ที่สุกงอมน่าจะเป็นเรื่องของประชาชน 65 ล้านคน กับนักการเมืองไม่กี่ร้อยคน ตรงนี้ต่างหากที่จะทำให้การต่อสู้มีการขยายวง มีเอกภาพ และขยายฐานมวลชนในลักษณะที่เกิดการต่อสู้ในเชิงการช่วงชิงผลประโยชน์ของนักการเมืองให้มาเป็นผลประโยชน์ของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้จะไม่ก่อให้เกิดสงครามประชาชน หรือสงครามขั้วอำนาจ ที่รังแต่จะก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างคนไทยที่ถูกชักจูงโดยฝ่ายการเมือง ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม หรือสามฝ่าย หรือมากกว่านั้น แต่ผมคิดว่าการต่อสู้ต่อไปจะต้องมีความรัดกุมรอบคอบ และรอในสถานการณ์ที่สุกงอมจริงๆ

พันธมิตรฯ เองได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า เราจะเคลื่อนไหวใน 3 เงื่อนไขสำคัญ ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ประการที่ 1 คือ เราจะออกมาชุมนุมทันที เมื่อมีความชัดเจนว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เราชุมนุมทันที เราสัญญานะครับ ประการที่ 2 คือเมื่อรัฐบาลพยายาม หรือเดินหน้า ในเรื่องการตรากฎหมายเพื่อล้างความผิดให้กับคุณทักษิณ และพวก อันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ เราก็จะชุมนุมทันที ขอย้ำว่าที่เราชุมนุมทันที ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราเห็นสองเรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องอื่น เรื่องอื่นก็สำคัญนะครับ แต่ว่าเราใช้กระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ได้ เหตุผลเพราะว่าเรื่องอื่นๆ เราเห็นว่าถ้าเราสู้ไป ถ้าเกิดการพลิกขั้วอำนาจ ทุกอย่าง นักการเมืองก็ยังทำเหมือนเดิม เช่น ทุจริต ก็ทุจริตเหมือนเดิม เช่น ยอมรับอำนาจศาลโลก ต่อสู้ไป บาดเจ็บ ล้มตาย เขาก็ทำเหมือนเดิม เราเลือก 2 เรื่องนี้ก็เพราะเหตุว่า เรารู้ว่าถ้ารัฐบาลลุแก่อำนาจ ทำ 2 เรื่องนี้เมื่อไร ต่อให้มีประชาชนยอมเสียสละ ก็จะมีประชาชนยอมเสียสละ เมื่อรู้ว่าถ้ามีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ รัฐบาลชุดต่อไปเขาจะไม่ทำในสิ่งเดียวกัน ที่รัฐบาลเพื่อไทยจะทำ เราถึงหยิบ 2 เงื่อนไขนี้มา

และประการที่ 3 ก็คือว่า เราสัญญาว่า เมื่อประชาชนตื่นรู้ และถึงเวลาสุกงอม ที่เขาต้องการเรียกร้องการปฏิรูปการเมือง พันธมิตรฯ ก็จะออกมาเช่นเดียวกัน แต่หลายคนอาจจะบอกว่ามันนานเกินไปหรือไม่ มันรอไม่ไหวหรือไม่ ประชาชนทนไม่ไหวแล้วหรือไม่ ผมก็อยากจะเรียนให้ทราบ 2 ประเด็นว่า ที่จริงประการแรก คำว่ามีประชาชนทนไม่ไหว ผมทราบ ว่าประชาชนกลุ่มนั้นคือประชาชนที่รักชาติ ห่วงแผ่นดิน แต่ทว่าประชาชนที่มีอยู่ตอนนี้ ที่มีความรู้สึกแบบนี้ เป็นประชาชนส่วนใหญ่แล้วหรือยัง หรือเป็นประชาชนจำนวนมากพอหรือยัง ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น

และประการที่ 2 ที่ผมอยากจะฝากข้อคิด ก็คือว่า สถานการณ์จะไม่รอเป็นสิบปีหรอกครับ และก็ไม่รอเป็นหลายๆ ปีหรอกครับ ในสถานการณ์ปีหน้า มีสถานการณ์ที่กำลังจะสุกงอมหลายประเด็น ที่จะเริ่มปีหน้าเป็นต้นไป ผมขอย้ำนะครับว่ามีหลายเงื่อนไขที่เราเห็น และไม่จำเป็นต้องพูดออกอากาศในเวลาแบบนี้ แต่อยู่ในสถานการณ์ที่เราประเมินอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หมดกำลังใจ และต้องให้กำลังใจ พล.อ.บุญเลิศ ในการทำภารกิจต่อ แม้ว่าพันธมิตรฯ อาจจะไม่มียุทธวิธีที่เหมือนกับองค์การพิทักษ์สยาม แต่เราก็เห็นเจตนาดีของ พล.อ.บุญเลิศ ในการกระทำที่ต้องการเห็นความตระหนักถึงปัญหาของบ้านเมือง และทนไม่ได้

ดังนั้น องค์กรที่มีวัตถุประสงค์ในการขับไล่รัฐบาลและเกิดการปฏิรูป อย่างองค์การพิทักษ์สยาม หรือองค์กรอย่างพันธมิตรฯ ที่เน้นการให้ปัญญากับประชาชนในการปฏิรูปการเมือง แล้วอาจนำไปสู่การล้ม หรือไม่ล้มรัฐบาลก็ได้ในอนาคต ที่จริงแล้ว ยุทธวิธีที่ไม่เหมือนกันเป็นประโยชน์นะครับ ยิ่งถ้ามีหลายองค์กร มีหลากหลายรูปแบบ ฝ่ายรัฐบาลจะมีการตั้งรับมือที่แตกต่างกันออกไป และอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากยิ่งกว่าเดิมในการที่จะลุแก่อำนาจต่อไปในอนาคต

ดังนั้น ผมอยากจะย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ให้กำลังใจทุกคนนะครับ ขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ทั้งที่ไม่ได้ไปเพราะว่ามีความเชื่อมั่นในแกนนำ หรือรอแกนนำ ทั้งที่ไปเพราะความรักชาติ หวงแผ่นดิน ห่วงแผ่นดิน และทนไม่ไหวกับสถานการณ์ในบ้านเมือง แต่ทางแกนนำพันธมิตรฯ เราจะมีการพูดคุยถึงก้าวต่อไปอย่างรอบคอบ อย่างมั่นคง และรอสถานการณ์ที่สุกงอม ซึ่งรออยู่ไม่นาน เพียงแต่ว่าขอให้ทุกคนมีกำลังใจ ขอให้มีกำลังใจ เสียอะไรทุกอย่างเราอาจจะเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น