ปิดฉากคดีฉาวโยกย้ายปลัดมหาดไทย ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกฯ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เด้ง “พีรพล ไตรทศาวิทย์” เข้ากรุที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สั่งคืนสิทธิประโยชน์ภายใน 60 วัน ชี้พฤติการณ์รีบเร่ง มีเจตนาแอบแฝง เพื่อแต่งตั้งคนอื่นเสียบแทนเท่านั้น อ้างความจำเป็นฟังไม่ขึ้น ซ้ำลดบทบาท ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญน้อยกว่าเดิม
วันนี้ (19 พ.ย.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 17/2552 ลงวันที่ 20 ม.ค. 52 ที่แต่งตั้งนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปเป็นปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ และให้คืนสิทธิประโยชน์ที่นายพีรพล จะได้รับในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด
โดยคดีนี้ นายพีรพลยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีขณะนั้น คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกรัฐมนตรี คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2552 เห็นชอบตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ให้นายพีรพล ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ขาดจากอัตราเงินเดือนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เป็นสังกัดเดิม และให้มีผลทันทีในวันดังกล่าว โดยนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 2 อ้างเหตุผลต่อสื่อมวลชนว่าเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงาน ความเหมาะสม และต้องการให้มีข้าราชการที่ทำงานแล้วรัฐบาลรู้สึกสบายใจ ว่างานที่รัฐบาลสั่งการลงไป ข้าราชการสามารถรับไปปฏิบัติและได้ผลที่น่าพอใจ ทั้งที่นายพีรพลปฏิบัติราชการตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เพียง 3 เดือนเศษ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งในวันที่ 20 ม.ค. 2552 วันเดียวกับที่เสนอย้ายนายพีรพลนั้น ก็ได้มีการเสนอแต่งตั้งนายวิชัย ศรีขวัญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยแทนนายพีรพล
ส่วนเหตุที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนระบุว่า ศาลพิเคราะห์คำฟ้อง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การปฏิบัติราชการของ ครม. และรัฐมนตรี ต้องเป็นไปตามกฎหมายตามหลักนิติธรรม ซึ่งการออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ให้นายพีรพลไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุนายพีรพลรับราชการในกระทรวงมหาดไทยมานาน เป็นผู้มีประสบการณ์ ทำให้การบริหารราชการในฝ่ายปกครองประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ และนโยบายสำคัญเร่งด่วนหลายเรื่องต้องดำเนินการนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าว ยังขัดต่อพฤติการณ์และแนวปฏิบัติของผู้ถูกฟ้อง เพราะหากรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในส่วนเกี่ยวข้องกับฝายปกครอง ผู้ถูกฟ้องทั้งสองสามารถมอบหมายนโยบายให้นายพีรพล ที่ขณะนั้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยรับไปปฏิบัติได้ ซึ่งนายพีรพลสามารถสั่งการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้พร้อมปฏิบัติการตามนโยบายได้อย่างรวดเร็ว ตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมาย ยิ่งกว่าการไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่มีอัตราเพียง 9 คน ขณะที่ความเป็นจริงไม่ได้มีข้าราชการดำรงตำแหน่งดังกล่าวเต็มกรอบอัตรากำลัง
แม้การที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีวันที่ 20 ม.ค. 2552 และ รมว.มหาดไทย มีหนังสือแจ้งไปยังเลขาธิการ ครม. เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในวันเดียวกัน จะไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่แสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่เร่งรีบ แฝงซึ่งวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสองอ้างเป็นเหตุผล อีกทั้งปรากฏด้วยว่าขณะนั้นนายพีรพล มีอายุราชการในการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยอีกถึง 2 ปี มีเวลาทำงานมากกว่านายวิชัย ศรีขวัญ ที่เมื่อดำรงตำแหน่งปลัดแล้วเหลือเวลาทำงานเพียง 6 เดือน ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง อ้างว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนการสั่งย้ายนั้น เห็นว่า ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งย้ายนายพีรพล ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 2552 ก็ไม่ปรากฏว่าได้มอบหมายงานให้ปฏิบัติ กระทั่งวันที่ 24 เม.ย. 2552 นายพีรพลมีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. เพื่อรับคำบรรยายลักษณะงานในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่ง ก.พ.ได้มีหนังสือวันที่ 14 พ.ค. 2552 แจ้งกลับมา จึงทำให้เห็นว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายนายพีรพลนั้น ยังไม่มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้นายพีรพลรับไปปฏิบัติแต่อย่างใด
แม้ต่อมาวันที่ 29 เม.ย. 2552 นายกฯ จะแต่งตั้งนายพีรพล เป็นผู้อำนวยการสำนักงานอำนวยการบูรณาการประสานความร่วมมือและติดตามเร่งรัดงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล (สอ.นร.) แต่ก็หลังจากสั่งย้ายนานถึง 3 เดือน อีกทั้งยังปรากฏว่าเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2552 ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) อนุมัติเจ้าหน้าที่ 2 อัตราให้ช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อปฏิบัติงาน สอ.นร. ซึ่งเป็นเวลา 5 เดือนหลังจากที่นายพีรพลไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนั้นที่อ้างว่าการสั่งย้ายนายพีรพล มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงไม่อาจรับฟังได้ แต่เป็นการออกคำสั่งย้ายเพียงให้นายพีรพลพ้นจากตำแหน่ง เพื่อจะแต่งตั้งข้าราชการอื่นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยต่อไปเท่านั้น ขณะที่เมื่อพิจารณาบทบาทหน้าที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย จะเห็นได้ว่ามีความรับผิดชอบมากกว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยนอกจากต้องกำกับดูแลและบริหารราชการในหน่วยงานแล้ว ยังสามารถให้คำปรึกษาเสนอความเห็นกับนายกรัฐมนตรีได้ โดยไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด
ดังนั้น ที่ผู้ถูกฟ้องอ้างว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสูงกว่าปลัดกระทรวงมหาดไทยนั้นยังฟังไม่ได้ การที่นายพีรพลถูกสั่งย้าย จึงเป็นการลดบทบาทและความสำคัญในตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการตามที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญกำหนดไว้ จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 17/2552 ลงวันที่ 20 ม.ค. 2552 และเพิกถอนการโอนนายพีรพล ที่แต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ และให้คืนสิทธิประโยชน์ที่นายพีรพล จะได้รับในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ แม้ศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว แต่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องยังสามารถยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วันตามกฎมาย