ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญไปแล้วสำหรับคนในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กับเรื่องฝ่าฝืนกฎหมาย ทำตัวเป็นศรีธนญชัย ตะแบงเอาตัวรอดกันไปแบบน้ำขุ่นๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่สนใจความถูกต้อง และความรู้สึกของประชาชน เพราะคงคิดว่าไม่มีความหมาย ไม่ต้องไปแคร์
กรณีที่เกิดขึ้นกับ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดร้ายแรงเมื่อครั้งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2545 ไปรับรองการซื้อขายที่ดินของวัดธรรมิการามฯให้กับบริษัทอัลไพน์ว่าถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ไปรับรองการแปลงที่ธรณีสงฆ์ให้เป็นสนามกอล์ฟที่เกี่ยวข้องกับก๊วน ทักษิณ ชินวัตร เสนาะ เทียนทอง ชูชีพ หาญสวัสดิ์ พี่ชายของชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่นั่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันก่อนได้อย่างหน้าตาเฉยนั่นแหละ
ความผิดที่ต้องทำให้คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทยที่มี ชูชาติ หาญสวัสดิ์ ลงโทษทางวินัยกับ ยงยุทธ ในฐานะรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยให้ “ไล่ออก” เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น ขณะเดียวกันคนที่เป็นรองประธาน อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย คือ พระนาย สุวรรณรัฐ ที่เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ออกมาการันตีโดยอ้างความเห็นของกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติล้างมลทินปี 2550 ว่าทำให้ ยงยุทธ บริสุทธิ์ผุดผ่องไปแล้ว
สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปได้ โดยไม่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (6) และมาตรา 174 (4)
ความหมายก็คือเป็นการวางแผนรองรับ ทำงานกันเป็นทีมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ใช้วิธีศรีธนญชัยตะแบงกันไปแบบไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะมั่นใจว่า “เครือข่ายระบอบทักษิณ” จะต้องอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีทางล่มสลายในระยะเวลาอันใกล้ อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจเสียด้วยว่า ภารกิจของยงยุทธที่ต้องทำในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็คือ การร่วมกับปลัดกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแต่งตั้งระดับผู้ว่าราชการจังหวัดอีกกว่า 130 ตำแหน่งกำลังรอ รวมไปถึงการรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งหัวโต๊ะในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่จะถึงนี้ นี่แหละถึงต้องบอกว่าจะทำให้ชะงักไม่ได้เป็นอันขาด ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามที่กำหนดเอาไว้เป็นตารางเวลา
นาทีนี้ไม่จำเป็นต้องไปสนใจแล้วว่าจะมีปัญหาถูกร้องเรียนยื่นเรื่องให้มีการตีความกรณีขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีแง่มุมทางกฎหมายกรณีพระราชบัญญัติล้างมลทินปี 2550 ระบุว่าต้องได้รับโทษทั้งหมดหรือ “บางส่วน” ไปแล้วเท่านั้น หลายคนจึงมองว่ายงยุทธไม่เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติล้างมลทินดังกล่าว
ดังนั้น เรื่องราวของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องยาว และต้องติดตามกันต่อไปว่าจะลงเลยแบบไหน เพราะต้องมีคนไปยื่นเรื่องให้ตีความและเอาผิดตามมาแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นแง่มุมทางกฎหมายต้องว่ากันไปตามขั้นตอน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันเฉพาะหน้าก็คือ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ได้กระทำความผิดร้ายแรงตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลไปแล้ว และต่อมาคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทยก็ต้องลงมติไล่ออก ความหมายก็คือคนๆนี้ไม่สมควรที่จะดำรงตำแหน่งอะไรได้อีก หากพิจารณาในแง่ของจริยธรรมและคุณธรรมทางการเมือง อีกทั้งการเป็นนักการเมืองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับสังคม ไม่ใช่ใช้พวกมากลากไป หรือใช้การเลือกตั้งมาตัดสินความถูกผิด
กรณีของยงยุทธถือว่าได้สร้างรอยด่าง สร้างความอัปยศให้เกิดขึ้นในรัฐบาลอีกครั้ง เพราะนี่คือการย่ำยีระบบคุณธรรมอย่างน่าเกลียดที่สุด คิดแต่เพียงใช้วิธีศรีธนญชัยหลบเลี่ยง คิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้
แต่อีกด้านหนึ่งก็เชื่อมั่นเช่นเดียวกันว่า นี่คือ “แต้มสะสม” ที่ทำให้สังคมได้ตื่นตัวขึ้นมามากขึ้นจากพฤติกรรมของนักการเมืองฉ้อฉลที่รวมหัวกันย่ำยีกฎหมาย และหลายคนจะได้ตาสว่าง เพราะได้เห็นพฤติกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนมากขึ้นเรื่อยๆ!!