คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ปชป.ย้อนศรกองปราบฯ หอบหลักฐานร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี 5 แกนนำแดง “ณัฐวุฒิ-จตุพร-สุภรณ์-อริสมันต์-เหวง” ข้อหากบฏ ยก 5 ข้อเท็จจริงเทียบกรณี “เสธ.อ้าย” ชัดเจนกว่า ทั้งพฤติกรรมและการกระทำ ควรออกหมายเรียกมาดำเนินการทันที ระบุสังคมจับตากองปราบปรามสองมาตรฐานหรือไม่
ที่กองบังคับการกองปราบปราม วันนี้ (6 พ.ย.) นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจกองปราบปรามพร้อมทั้งมอบพยานหลักฐานให้ดำเนินคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ในข้อหากบฏและข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อนายจตุพร พหรมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เนื่องจาก ในระหว่างมีการชุมนุมในปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการกระทำผิดกฎหมายโดยชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปลุกระดมให้มีการล้มการประชุมอาเซียน ซัมมิต ที่พัทยา จ.ชลบุรี มีการบุกเข้าไปปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย เพื่อไล่ล่าทำร้ายนายกรัฐมนตรี และบุคคลในรัฐบาลในขณะนั้น
ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า การชุมนุมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบเปิดเผย หรือโดยปราศจากอาวุธ มีการเผาสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้ปรากฏอยู่ในพยานหลักฐานที่ส่งให้กับพนักงานสอบสวนทั้งหมด และข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงเข้าลักษณะความผิดฐานกบฏโดยชัดแจ้งเพราะพฤติการณ์ที่ใช้กำประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย มีเจตนาอย่างเดียวคือล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
นายราเมศกล่าวว่า เมื่อข้อเท็จจริงค่อนข้างที่จะชัดเจนก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายทันที ให้มีมาตรฐานเดียวกันกับกรณีของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ซึ่งก็เทียบกับการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งที่ผ่านมา เป็นการชุมนุมที่สงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ ซึ่งไม่เข้าลักษณะความผิดฐานกบฏเลย แต่พนักงานสอบสวนยังออกหมายเรียกภายในไม่กี่วัน แต่ข้อเท็จจริงในกรณีการชุมนุมในเดือนเมษายน 2552 ชัดเจนในการกระทำ จึงไม่ต้องลังเลที่จะออกหมายเรียกบุคคลทั้ง 5 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาได้ทันที เพราะสังคมเฝ้าจับตาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะที่เป็นต้นธารแห่งกระบวนการยุติธรรมว่าต้องมีมาตรฐานเดียวกันกับประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ
“การเดินทางมาวันนี้เพราะข้อเท็จจริงในคดีนี้ 1. ข้อเท็จจริงยุติว่าเข้าข่ายลักษณะความผิดฐานกบฏ 2. คดีนี้ยังไม่ขาดอายุความ 3. ผู้กระทำผิดยังมีชีวิตอยู่ บางคนได้ดิบได้ดีเป็นถึงเสนาบดี 4. เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้ ดังนั้น จะไม่มีใครมากล่าวโทษเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่อยู่แล้ว ผมมาในฐานะพลเมืองดีคนหนึ่งที่หอบพยานหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่โดยที่ตำรวจไม่ต้องเหนื่อยไปเสาะแสวงหาพยานหลักฐาน สามารถเปิดดูหลักฐานที่มอบให้นี้ได้ทันที และสามารถร่างหนังสือออกหมายเรียกได้เลย ส่วนจะผิด-ถูกอย่างไรก็ว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม และจะติดตามความคืบหน้ากรณีนี้อย่างใกล้ชิด”