ทีมกฎหมาย ปชป.แจ้งจับแกนนำ นปช.ทั้งคณะข้อหากบฏ จากเหตุชุมนุมปี 2552 วอนพนักงานสอบสวนใช้มาตรฐานเดียวกันกับดำเนินคดี เสธ.อ้าย
วันนี้ (6 พ.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นายราเมศ รัตนะเชวง อายุ 34 ปี พร้อมด้วยทีมงานคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เกรียงไกร ขวัญไตรรัตน์ พนักงานสอบสวน (สบ3) กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุพร อัตถาวงศ์ ฯลฯ ในความผิดฐานใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการ กระทำผิดฐานเป็นกบฎ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดฐานกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีการอื่นใดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หรือรัฐบาล ใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 โดยนำหลักฐานเป็นซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2552 จำนวน และเอกสารถอดคำพูดของแกนนำ นปช.ที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
นายราเมศกล่าวว่า เหตุที่เดินทางเข้าแจ้งความในครั้งนี้ เนื่องจากมีพยานหลักฐานปรากฎเป็นข้อเท็จจริงว่าในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเดือนเมษายน 2552 ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการปลุกระดมให้มีการล้มการประชุมอาเซียน ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รวมทั้งการปิดล้อมที่บริเวณกระทรวงมหาดไทย เพื่อไล่ล่าและทำร้ายนายอภิสิทธิ์ และบุคคลในรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่เข้าลักษณะความผิดฐานกบฎอย่างชัดเจน
นายราเมศกล่าวต่อว่า เมื่อข้อเท็จจริงค่อนข้างชัดเจนและมีพยานหลักฐานต่างๆ จึงเข้าแจ้งความโดยอยากให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายในทันที ให้เป็นมาตรฐานเดียวกับกรณีที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ซึ่งพนักงานสอบสวนได้พิจารณาออกหมายเรียกแล้ว แต่หากเปรียบเทียบการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่สนามม้านางเลิ้ง ที่เป็นการชุมนุมอย่างสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ นั้น แตกต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2552 อย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้จริงๆ แล้วการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2552 นั้น เข้าข่ายความผิดฐานกบฎชัดเจนและคดียังไม่ขาดอายุความ ซึ่งไม่จำเป็นว่าตนจะต้องเป็นฝ่ายเข้าแจ้งความดำเนินคดี เพราะประชาชนทั่วไปก็สามารถดำเนินการได้
“อยากให้ตำรวจเร่งรวบรวมหลักฐานที่ผมและคณะนำมามอบไว้ให้ครบถ้วนแล้ว พร้อมกับออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาในทันที หลังจากนั้นผมจะเฝ้าจับตาดูว่าตำรวจจะเลือกปฎิบัติหรือไม่ส่วนการพิจารณาในความอื่นๆ ก็ขอให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน” นายราเมศระบุ
ด้าน พ.ต.ท.เกรียงไกรกล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้ก่อนส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป