“อภิสิทธิ์” ติงกองปราบฯ ทำตามใบสั่งเรียก “สนธิ-เสธ.อ้าย” รับทราบข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง ชี้จุดชนวนความขัดแย้งมากขึ้น จี้ทำงานตรงไปตรงมาอย่าเหมือนดีเอสไอ ไล่บี้คดีเงินบริจาคน้ำท่วมของ ปชป.เกินเหตุ แถมข่มขู่ขอดูเอกสารย้อนหลัง 5 ปี แนะใครได้รับผลกระทบให้ดำเนินการตามกฎหมาย เผยเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต้นสัปดาห์หน้า ไม่กล้ายืนยันอภิปรายกี่วัน หวั่นรัฐบาลใช้แผนประท้วงป่วนสภาฯ ทำซักฟอกยืดเยื้อ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ทนายความของกลุ่ม นปช.ไปแจ้งความที่กองปราบปราม กล่าวหา พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่ามีพฤติกรรมเป็นการล้มล้างการปกครอง ยุยงส่งเสริมให้เกิดกบฏในประเทศว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าใครทำอะไรผิดก็สามารถที่จะดำเนินการได้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องดูตามข้อเท็จจริง ตามความเป็นธรรม ตนไม่ทราบว่าคนที่ไปแจ้งความนั้นเอาข้อเท็จจริงอะไรไปสนับสนุนว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย เข้าองค์ประกอบอะไร
อย่างไรก็ตาม ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง เพียงแต่ว่าถ้ามันมีลักษณะของการดูประหนึ่งว่ามีการจะกลั่นแกล้งกัน คงไม่เป็นผลดีแน่ เพราะว่าจำนวนคนที่ไปชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ถ้าไปทำให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังมีการจะกลั่นแกล้งกัน สกัดกั้นกัน แทนที่จะเป็นจุดที่ทำให้ทุกอย่างมีความราบรื่น มันก็จะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งขึ้นมาได้ อยากให้ระมัดระวังเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนตัวคิดว่าหากทางกองปราบฯ เรียกตัว พล.อ.บุญเลิศ และนายสนธิไปจริงน่าจะเกิดความตึงเครียด และความขัดแย้งอาจจะมากขึ้น เจ้าหน้าที่ควรนึกถึงตรงนี้ด้วย ขอให้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่ามีเรื่องของธงทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง เช่น กรณีที่ดีเอสไอรับคดีเรื่องเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นคดีพิเศษ ล่าสุด ตนได้รับแจ้งมาว่าบรรดาคนที่เคยบริจาคเงินน้ำท่วมซึ่งเคยถูกดีเอสไอเรียกไปหนหนึ่งแล้ว ขณะนี้ก็ถูกเรียกสอบเป็นรอบที่ 2 ทุกคน ไม่จบสิ้น จึงขอพูดล่วงหน้าว่าถ้ามีกรณีใดๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการพยายามที่จะกลั่นแกล้ง หรือคุกคาม หรือเลือกปฏิบัติ ก็คงจะต้องช่วยกันดำเนินการทางกฎหมายต่อดีเอสไอด้วยเช่นกัน เพราะกรณีนี้คนบริจาคเงินผ่านพรรคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และ กกต.เองก็สอบเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ผมไม่แปลกใจ เพราะว่าวันก่อนขนาดผมประสานงานไปเพื่อจะให้ความร่วมมือกับการสอบในเรื่องนี้ ผมก็ยังเจอการตอบในลักษณะที่เหมือนกับพยายามจะขู่ คือวันดีคืนดีจะมาขอเอกสารย้อนหลัง 5 ปีเกี่ยวกับเรื่องเงินทองทั้งหมด ซึ่งเราทำรายงานส่ง กกต. เอกสารไม่รู้กี่ลังจะมาขอให้ส่งไปให้หมด ต้องมานั่งเซ็นรับรองสำเนากัน ผมก็บอกว่ากำหนดประเด็นให้ชัดได้มั้ย คุณจะดำเนินคดีกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์อย่างไร คุณทำจดหมายมา คุณบอกแค่ว่าทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองอย่างนี้ ผมยังไม่ทราบเลยข้อหาคืออะไร แล้วก็อยู่ดีๆ ขอเอกสารย้อนหลัง 5 ปี เขาบอกว่าจะเอาอะไรก็บอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว แล้วก็ไม่ส่งมา ผมมีตัวเปรียบเทียบ เพราะว่าพรรคอื่นเขาส่งครบ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเอาไปเทียบเคียงกับพรรค ซึ่งผมเข้าใจว่าเอกสารปริมาณต่างกันเยอะมาก แล้วก็ข้อหาก็ไม่เหมือนกันด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลไกของรัฐเร่งทำงานเร็วกับคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล สุดท้ายจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ได้เคยเตือนหลายครั้งว่าวิกฤตทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น บ้านเมืองไม่เดินไปข้างหน้ามันมาจากการทำลายความสมดุลของระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงประมาณปี 45-46-47-48 เป็นต้นมา สถานการณ์ก็คือ 1. ลดทอนความสำคัญของสภาฯ 2. ปิดกั้นการใช้สื่อหลักของฝ่ายอื่นๆ 3. เอากลไกที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ อำนาจรัฐ หรือแม้กระทั่งกระบวนการยุติธรรม ตั้งต้นช่วยเหลือพวกพ้อง แล้วก็กลั่นแกล้งคนอื่น นี่คือจุดที่ทำให้สังคมมันถึงได้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาทั้งหมด
ต่อข้อถามว่า เมื่อเช้านี้ (1 พ.ย. 55) มีการขึ้นป้ายติดที่รั้วทำเนียบรัฐบาล ข้อความว่า “ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ราชการ บุคคลภายนอกห้ามเข้า” นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “ผมไม่ทราบ และยังไม่เคยเห็นป้ายนี้ จึงไม่รู้ว่าติดไว้ยังไง แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าจะบอกว่ามันเป็นสถานที่ราชการก็ถูกต้อง แล้วก็จะเขียนว่าจะเข้าไปติดต่อที่ไหน ขออนุญาตอย่างไรก็น่าจะดีกว่านะครับ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ขณะนี้ไม่มีปัญหาเรื่องเวลา โดยยังเป็นช่วงวันที่ 25-28 พ.ย. ซึ่งถ้านับกันจริงๆ ก็คือถึง 4 วัน รวมลงมติ 1 วัน ฝ่ายค้านเองก็บอกแล้วว่าจะอภิปรายเต็มที่ก็ 3 วัน หรือาจจะ 2 วันก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากจะลงมติวันที่ 28 พ.ย.ได้ ตนก็บอกกับประธานวิปรัฐบาลว่าอย่าให้ไปกระทบวุฒิสภา ถ้าสมมติว่าจะลงมติวันนั้นจริงก็ไม่ยากอะไร เพราะวุฒิสภานัดประชุม 09.30 น. สภาผู้แทนราษฎรก็นัดประชุมเวลา 08.30 น.เพื่อลงมติ เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นวาระสำคัญเชื่อว่า ส.ส.ซีกรัฐบาลจะมาลงมติอย่างพร้อมเพียงอยู่แล้ว เมื่อได้หารือทางประธานวิปก็ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีประเด็นที่จะต้องกังวลอะไรอีกย กเว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลจงใจในการที่จะไม่ให้กระบวนการนี้มันทำงานตามปกติ ตามที่มันควรจะเป็นเท่านั้นเอง
“เราไม่กล้าพูดว่าวันสองวันต้องเสร็จได้นั้น เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะเจอประท้วงหรือเปล่า เพราะว่าเวลาประท้วงแล้วก็เสียเวลากัน บางทีก็เลยกลายเป็นยุทธศาสตร์ของทางฝ่ายรัฐบาลไปเลย ว่าก็ให้คนเบื่อไปเลยจะได้ไม่ต้องดูกันไปอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ควรจะทำอย่างนั้นเพราะมันทำลายตัวระบบสภาด้วยกันเอง หลายครั้งที่ผ่านมาเมื่อดูสถิติว่าแต่ละฝ่ายใช้ไปเวลาไปกี่ชั่วโมงก็ตกใจ เพราะเวลาประท้วงบางฝ่ายก็ใช้เวลามากกว่าฝ่ายค้าน นี่คือปัญหาครับ ที่ผมคิดว่าก็ต้องช่วยกันนะ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้นสัปดาห์หน้าฝ่ายค้านจะไปยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งหากมีประเด็นทุจริตก็จะมีการยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ขณะนี้ประเด็นการอภิปรายและตัวบุคลที่จะยื่นอภิปรายนั้นน่าจะได้ข้อยุติตรงกันหมดแล้ว โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้ก็จะมีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทยร่วมอภิปรายด้วย