เครือข่ายหยุดผูดขาดตลาดข้าว ยื่นหนังสือร้องผู้ตรวจการแผ่นดินสอบโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ระบุเป็นการกระทำมิชอบ ขัด รธน. ทำลายระบบเศรษฐกิจเสรี ผูกขาดกับผู้รับซื้อและขายข้าวเปลือก
วันนี้ (1 พ.ย.) นายวรา จันทร์มณี ผู้นำเครือข่ายหยุดผูกขาดตลาดข้าว ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการดำเนินงานตามมติ ครม.ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และส่อว่าจะมีการทุจริตประพฤติมิชอบ
นายวรากล่าวว่า มติหรือการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมิชอบ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1) ที่บัญญัติให้รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน แต่การรับจำนำข้าวเปลือกในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เป็นการขัดหลักการรับจำนำทั่วไป ทำลายระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีที่อาศัยกลไกตลาดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ไม่สนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจในตลาดการเกษตรข้าวอย่างยั่งยืน และรัฐกลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดการรับซื้อและขายข้าวเปลือกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 43 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพด้วย อีกทั้งยังส่อมีการทุจริต เป็นการคอรัปชั่นแบบโปร่งใส มีใบเสร็จตรวจสอบยาก
ทั้งนี้ นายวรายังได้สรุปความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวที่จะนำไปสู่วิกฤตข้าวไทยและสร้างภาระทางการเงินการคลังของประเทศ จนส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรงว่ามีทั้งสิ้น 12 ประเด็น เช่น ทำให้กลไกตลาดในการแยกแยะคุณภาพข้าวล้มเหลว เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการผลิตข้าวคุณภาพดี คุณภาพข้าวลดลงเนื่องจากการเก็บสต๊อกข้าวจำนวนมาก
การกำหนดราคาจำนำสูง เป็นการส่งสัญญาณที่บิดเบือนทำให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวเกินศักยภาพ นำไปสู่การบิดเบือนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรซึ่งมีรายงานการตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เมื่อ 28 ธ.ค. 52 ระบุถึงความผิดพลาดในการกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด ว่าเมื่อหมดระยะเวลารับจำนำราคาผลผลิตไม่สูงขึ้น ทำให้เกษตรกรไม่ไถ่ถอนผลผลิตคืน สร้างความไม่เป็นธรรมให้เกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น ทำลายโครงสร้างอุตสาหกรรมข้าวไทยที่มีการพัฒนามาเป็นอย่างดี ทำให้ประเทศไทยขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดค้าข้าวโลก ชาวนาระดับล่างไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รัฐก่อหนี้สาธารณะจำนวนมาก เจ้าหน้าที่และองค์กรของรัฐมีพฤติกรรมส่อว่าจะมีการทุจริตในการดำเนินโครงการ เช่นร่วมมือกับเกษตรกรจดทะเบียนพื้นที่เพาะปลูกว่ามีมากกว่าที่เกษตรกรมีจริงเพื่อนำข้าวสวมสิทธิ์มาจำนำ ร่วมมือกับโรงสี เจ้าของโกดังในการจัดส่งข้าวจำนวนต่ำกว่าจำนวนที่ต้องส่งจริง ซึ่งหากรัฐยังคงดำเนินโครงการในลักษณะนี้จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติ จึงขอให้ผู้ตรวจฯดำเนินการตรวจสอบและเสนอเรื่องไปยังศาลปกครองหากเห็นว่า กฎ คำสั่ง หรือการกระทำของเจ้าหน้าที่ หน่วยงาน เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ และหากมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ก็ขอให้เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ด้านนายเฉลิมศักดิ์กล่าวว่า หลังจากนี้ผู้ตรวจฯก็จะพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ และที่สุดหากพบว่าเป็นเรื่องความบกพร่องในการปฏิบัติ หรือละเลยการปฏิบัติโดยหลักก็จะใช้วิธีการเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไข แต่หากพบว่าเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็จะเสนอศาลพิจารณาต่อไป ซึ่งการพิจาณาก็จะดำเนินการโดยเร็วเพราะเข้าใจดีว่าประชาชนให้ความสนใจ และผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้นโยบายไว้ว่าหากเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้ประชาชน ประเทศชาติเสียหายก็ให้สำนักงานเร่งดำเนินการ แต่ทั้งนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการทุจริตคงเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.
