ผู้ชุมนุมที่เข้าร่วมกับกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม มีฉันทานุมัติระดมคน 1 ต่อ 100 เพื่อเช็กบิลรัฐบาล ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน “ประสงค์” ปราศรัยฉะระบอบทักษิณทำวิกฤตชาติ 5 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม-ระบบราชการ ความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย และภาวะผู้นำประเทศ อัด “ยิ่งลักษณ์” อ้าง “หนูไม่รู้” อย่างเดียว
วันนี้ (28 ต.ค.) ที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือสนามม้านางเลิ้ง บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ยังเป็นไปอย่างคึกคัก แม้มีประชาชนบางส่วนเดินทางกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายจนนำให้พื้นที่อัฒจรรย์ด้านบนบางตาไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อเวลา 17.30 น. น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ขึ้นปราศรัยว่า ได้รับคำเชิญจาก พล.อ.บุญเลิศ ให้มาพูดถึงปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการชุมนุมตามกฎหมาย โดยตนในฐานะผู้ร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่าประชาชนที่มาในวันนี้ได้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญทุกประการ เพราะประชาชนเป็นผู้เจ้าของประเทศตัวจริง เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศไม่ดี ประชาชนก็มีสิทธิชุมนุมและเรียกร้องให้รัฐบาลออกไปจากตำแหน่งได้ ทั้งนี้ ตนมองว่าบ้านเมืองกำลังเผชิญวิกฤต 5 ประการที่จะนำประเทศไปสู่หายนะในอนาคต คือ 1. วิกฤตเศรษฐกิจ ที่ทุกคนรู้ดีว่าความเป็นอยู่ของประชาชนมีแต่แย่ลง ข้าวของแพง ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีอำนาจ แปลงทุนให้เศรษฐี แปลงหนี้ให้ชาวบ้านโดยใช้นโยบายประชานิยม จนมาถึงรัฐบาลนี้ก็มีการใช้งบประมาณที่มีอยู่จนหมด มีการกู้เงินเพิ่ม รวมถึงมีการอ้างถึงวงเงินกู้เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยโดยไม่มีใครทราบว่านำไปใช้อะไรบ้าง
น.ต.ประสงค์กล่าวว่า 2. วิกฤตทางสังคมและระบบราชการ ที่ตนในฐานะผู้อยู่ในวงการการเมืองมาหลายสมัย ไม่เคยเห็นประชาชนแตกแยกแบ่งฝ่ายเท่ายุคนี้มาก่อน เหตุนี้เพราะนักการเมืองที่เลวๆ หลอกล่อให้อยู่ฝ่ายตน และโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ดี นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายข้าราชการดีๆ ไปอยู่ตำแหน่งที่ไม่มีบทบาท 3. วิกฤตความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งในเรื่องของชายแดนกัมพูชานั้น นักการเมืองเลวได้สมคบคิดนักการเมืองกัมพูชา และบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศอเมริกาที่จะมากอบโกยทรัพยากรในอ่าวไทย เห็นได้จากที่ผ่านมามีแนวทางที่จะใช้พื้นที่บริเวณสนามบินอู่ตะเภา สำรวจต่างๆ และถ้ามีการอนุญาตจะถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง ทั้งนี้ถ้ารัฐบาลยังอยู่ต่อไป อาจสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่บริเวณอ่าวไทยด้วย ขณะที่ปัญหาภาคใต้ก็ไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ตนเชื่อว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถแก้ปัญหาได้
น.ต.ประสงค์กล่าวว่า 4. วิกฤตการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีทั้งระบบนิติรัฐและนิติธรรม มีการออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ใส่ใจที่จะดำเนินการจับกุมนักโทษหนีคดี อาทิ ในส่วนของตำรวจ อัยการ และกระทรวงต่างประเทศที่ต่างอ้างว่าไม่รู้ที่อยู่ แต่กลับมีนักการเมืองไปพบ และเรื่องนี้จะไปโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ เพราะทั้งหมดได้ถูกสั่งการจากผู้มีอำนาจ 5. วิกฤตภาวะผู้นำประเทศที่ขณะนี้ผู้นำประเทศไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่สามารถที่จะตอบคำถามใดๆได้เลย มีเพียงแต่การอ้างว่า “หนูไม่รู้” เพียงอย่างเดียว ให้ข้อมูลผิดๆ ถูกๆ ซึ่งตนรู้สึกสมเพชผู้นำประเทศคนนี้
ทั้งนี้ หลังจากใช้เวลาประมาณ 30 นาที น.ต.ประสงค์ได้ปราศรัยจนจบ จนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการชุมนุม โดยบรรดาแกนนำทั้งหมดได้ขึ้นเวที และ พล.อ.บุญเลิศได้ปราศรัยสรุป โดยยืนยันว่าการชุมนุมในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากกว่า 2 หมื่นคน และทั้งหมดมาจากทั่วสารทิศ ไม่มีใครจ้างมา และเป็นการแสดงออกว่าประชาชนไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากนั้น พล.อ.บุญเลิศได้ถามผู้ชุมนุมว่า “วันนี้ผู้ชุมนุมพอใจหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่” ทั้งนี้ประชาชนได้ตะโกนกลับมาว่า “เห็นด้วย” และส่งเสียงสนับสนุน พล.อ.บุญเลิศจึงพูดกลับไปว่า ถ้าเช่นนั้นให้ทุกคนพาคนมาร่วมอีก คนละ 100 คน เพื่อให้การชุมนุมประสบความสำเร็จต่อไป โดยการชุมนุมครั้งหน้าจะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายเพื่อขับไล่รัฐบาลนี้ให้ได้ กระทั่งเวลา 18.15 น.ผู้ชุมนุมได้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีร่วมกัน พร้อมตะโกนคำว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ” พร้อมกับที่ พล.อ.บุญเลิศได้สั่งยุติการชุมนุมเมื่อเวลา 18.18 น. และอวยพรให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ