กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน อัดรัฐบาลหงอเขมร ชี้ไทยร่วมดำเนินคดีเท่ากับยอมรับเขตแดนตามปี 05 เสีย 4.6 ตร.กม. รอบปราสาททันที นัด 14 ม.ค. นำทีมฟ้องศาลอาญา ฟัน กต. แพร่ข้อมูลเท็จต่อชาวบ้าน ก่อนดีเดย์ชุมนุม 21 ม.ค. นำล้านรายชื่อยื่น ปธ.ศาลฎีกา และผู้นำเหล่าทัพ ลั่นม้วนเดียวจบ "มาร์ค" จี้ "ปึ้ง" ปรับทัศนคติ อัด พท. เริ่มโยงกรณีเขาพระวิหารสู่การเมือง "นพเหล่" ยันแถลงการณ์ร่วมปี 51 ไม่ได้ทำเสียดินแดน เพราะปราสาทเป็นของเขมรตั้งแต่ปี 05
วานนี้ (6 ม.ค.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมคนไทย รักชาติรักษาแผ่นดิน นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ ได้ร่วมจัดเสวนา หักศอกนอกทำเนียบฯ ภาคพิเศษ "ตั้งหลักประเทศไทย หยุดประชาธิปไตยสามานย์" ถึงข้อพิพาท และแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาล ต่อกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกเตรียมชี้ขาดในปีนี้
ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลได้ออกมาพูดว่า ทางรัฐบาลจะสู้ แต่จะสู้ในหนทางใด เมื่อทางกัมพูชาร้องเพื่อให้รองรับแผนที่ของทางฝรั่งเศส 1 ต่อ 2 แสนตารางกิโลเมตร ตรงนี้ทางรัฐบาลทราบว่า เราจะเสียพื้นที่แน่นอน โดยฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ที่จะยกเขตแดนให้ใคร ส่วนทางไทยยืนกรานโดยมีนัยทางคดีไปแล้ว ซึ่งเป็นเหมือนการยอมรับเรื่องเขตแดนตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี 2505 และไทยจะต้องสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารทันที ส่วนเอ็มโอยู 43 ที่กัมพูชา พูดถึงเป็นในยุคของ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการเป็นเซ็นรับรองไปแล้ว
" ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เมื่อฝ่ายบริหารไม่ทำหน้าที่แล้ว เราจะใช้พลังประชาชนเข้าไปกดดันทุกวิถีทาง" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
ด้านพล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลที่บอกว่ามาจากประชาธิปไตย แต่ไม่เคยทำตามหลักประชาธิปไตย อย่างการแทรกแซงสื่อมวลชนในการถอดละคร เรื่องเหนือเมฆออก หลังจากที่ละครเรื่องดังกล่าวไปคล้ายคลึงกับบางคน จนทำให้ลูกสาวทนไม่ไหว ต้องโทรศัพท์ไปฟ้องพ่อ ที่อยู่ในต่างประเทศให้ถอดละครเรื่องนี้ออกทันที ขณะเดียวกันในประเด็นของเขาพระวิหาร ตนขอตั้งข้อสังเกตถึง เจ๊ ด. ที่ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน บอกว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับยกลูกสาวให้เขาไป ไม่รู้จะเกี่ยวข้องอะไรกับผลประโยชน์ปมเขาพระวิหาร หรือไม่
ขณะที่นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวเพื่อตั้งหลักประเทศ หยุดประชาธิปไตยสามานย์ โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ทางกลุ่มจะไปยื่นฟ้องกล่าวหารัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ ต่อศาลอาญา รัชดา เนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย - กัมพูชา ต่อสาธารณะชน และในวันที่ 21 ม.ค. ทางกลุ่มจะมีการนัดชุมนุมใหญ่ เพื่อเดินขบวนไปยื่นหนังสือเรียกร้อง พร้อมกับรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วย ต่อประธานศาลฎีกา และต่อผู้นำเหล่าทัพ โดยวันนี้ มีรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 5.7 แสนรายชื่อ และคาดว่าภายในวันที่ 21 ม.ค. จะมีรายชื่อผู้เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ทั้งนี้ในการชุมนุมยังไม่มีการกำหนดว่า จะชุมนุมที่จุดใด แต่จะเป็นการชุมนุมแบบม้วนเดียวจบ
**"มาร์ค" จี้"ปึ้ง"ปรับทัศนคติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เตรียมฟ้องคนที่พูดพาดพิงผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกรณี ปราสาทพระวิหาร ว่า นายสุรพงษ์จะต้องสร้างความมั่นใจในการเดินหน้าต่อสู้คดี ข้อสงสัยทั้งหลายเกิดจากการแสดงออกทำนองที่เหมือนจะแพ้ ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะพูดอย่างนั้น ขณะเดียวกัน การเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทางทะเล ก็ต้องพูดให้ชัดว่า รัฐบาลนี้ดำเนินการหรือไม่ เป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิ์ที่จะรู้ และตรวจสอบ
ทั้งนี้ ไม่กังวลเป็นการตั้งคำถามอยู่บนพื้นฐานข้อมูลต่างๆ บนความสุจริต และเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ขณะเดียวกัน คิดว่าทีมทนายถูกกดดันจากสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำงานหนักขึ้น และคิดว่า ถ้านายสุรพงษ์ เปลี่ยนทัศนคติ แทนที่จะหาเรื่องคนอื่น พยายามรวมทุกฝ่ายเดินหน้าทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์รอบคอบน่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด
เมื่อถามว่าแนวโน้มที่จะสู้คดีของไทยที่ใช้ทีมทนายเดิม แต่ทางกัมพูชาเป็นถึงระดับรัฐมนตรีเป็นทนายเองนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่ตัวรัฐมนตรีจะต้องประเมินตัวเองว่าใจสู้และสามารถเข้าใจประเด็นหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐมนตรีจะเดินทางไปด้วยตัวเอง
ส่วนของกรณีที่เกิดขึ้น นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาเรียกร้องว่าอย่านำประเด็นดังกล่าวมาเล่นการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามนายนพดล ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน ทางฝ่ายค้านได้ให้ความร่วมมือตลอด ในเรื่องของต่างประเทศ มีแต่คนของพรรคเพื่อไทย ที่จุดประเด็นขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่นายนพดลทำไว้ ถ้าไม่มาโจมตี และช่วยกันก็ไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันเป็นห่วงกลุ่มที่ออกมาคัดค้านว่าสถานการณ์จะบานปลาย จึงอยากให้ทางรัฐมนตรีและทางรัฐบาลทำความเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอะไร และต้องสร้างความมั่นใจให้ได้
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ไม่เข้าใจว่านายสุรพงษ์ จะพูดถึงว่าถ้าแพ้คดีจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ควรทำหน้าที่ในการต่อสู้คดีปกป้องแผ่นดินของประเทศตัวเอง และคิดว่าถ้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ที่สุดก็ไม่มีใครว่าอะไร ส่วนอนาคตข้างหน้าแนวทางการต่อสู้ การรักษาดินแดนจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องศึกษาแนวทางการตั้งรับ
** อัด"ปึ้ง"เตรียมโยนบาปปชป.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสุรพงษ์ ระบุว่า การต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก ไทยมีแต่เสมอตัว หรือแพ้ ว่า เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่า ยอมจำนนแม้ในอีกสองสามวันต่อมา หลังถูกวิจารณ์จะมีการแก้ข่าวว่า จะต่อสู้อย่างเต็มที่ และนำทีมไปต่อสู้คดีด้วยตัวเอง แต่ก็สะท้อนพฤติการณ์ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ รมว.ต่างประเทศ แล้วว่า ไม่มีจุดยืน และนวทางที่ชัดเจนในการต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด
ทั้งที่รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวใช้ข้อมูลทรัพยากร ระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนมาทุ่มเทในการต่อสู้คดีกว่า 1 ปีเศษที่ผ่านมา แต่รัฐบาลกลับไม่ทำอะไรเลย ส่วนที่มีการระบุว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันใช้ทนายความชุดเดิม ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้ โดยเปลี่ยนเฉพาะตัวรัฐมนตรีเท่านั้น ส่อให้เห็นถึงเจตนาพยายามที่จะเบี่ยงเบน หรือไม่รับผิดชอบ ด้วยการกล่าวโทษมายังรัฐบาลที่แล้วหากศาลตัดสินว่าไทยแพ้ ใช่หรือไม่
" ที่นายสุรพงษ์ เปลี่ยนท่าทีว่าจะเป็นตัวแทนรัฐบาลเป็นผู้นำต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ภารกิจไม่ใช่ไปจ้องหน้าให้ นายฮอนัมฮง รมว.ต่างประเทศ ของกัมพูชาเสียสมาธิ แต่ต้องเป็นผู้นำในการวางแผนเพื่อต่อสู้คดีให้นำไปสู่ชัยชนะ และสิ่งที่เกิดประโยชนต่อประเทศไทย ส่วนที่ขู่ว่าจะฟ้องร้องนั้น ผมคิดว่าควรเอาเวลาไปสู้ในศาลโลกเพื่อให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยมีความสุขดีกว่าฟ้องคนที่ออกมาตรวจสอบให้รกศาลไทย" นายองอาจ กล่าว
** "นพเหล่"ปัดไม่เกี่ยวแถลงการณ์ร่วม
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตนรู้สึกสลดใจกับความพยายามของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่บิดเบือนใส่ร้ายอย่างต่อเนื่องว่า เป็นเพราะตนไปทำคำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาได้สิทธิ์ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
"ปราสาทเป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ศาลโลกตัดสิน เมื่อเขาเป็นเจ้าของปราสาท เขาจึงมีสิทธิ์นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก"
นายนพดล กล่าวด้วยว่า หากกัมพูชาต้องนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ที่ต้องทำแถลงการณ์ร่วม เพราะในปี 2549 ก่อนที่พวกตนเข้ารับตำแหน่ง กัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียน 1. ตัวปราสาทพระวิหาร 2. พื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และตน เป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยกัมพูชา ยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ตามที่ระบุในข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประชุมที่ประเทศแคนนาดา ในวันที่ 7 ก.ค.51
อย่างไรก็ตาม อยากให้พรรคการเมือง และคนไทยทุกกลุ่ม เลิกใช้ความเท็จ และหันมาผนึกกำลังกันต่อสู้คดีที่อยู่ในศาลโลก น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามาโทษกันไปมา และบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อหวังผลการเมือง และคดีที่กำลังพิจารณาอยู่ในศาลโลกในขณะนี้ เป็นการตีความคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 50 ปีแล้ว และคดีนี้เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่กัมพูชาดำเนินการไปตั้งแต่ปี 2551 แล้ว
อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า กัมพูชาไม่สามารถนำคำแถลงการณ์ร่วมไปใช้ประกอบในการขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก เพราะประการแรกศาลปกครองได้ตัดสินว่า คำแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะ และไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปอ้างอิงใดๆ และมีการรับรองและระบุชัดเจนในข้อ มติของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 7 ก.ค.51 ข้อ 5 ว่าให้ตัดคำแถลงการณ์ร่วมออกจากการพิจารณาว่า จะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน และประการที่ 2 ไทยและกัมพูชา ก็ยอมรับว่า คำแถลงการณ์ร่วมสิ้นผลแล้ว ตามหนังสือที่ นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้แจ้งไปยังกัมพูชา ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมจึงไม่มีผลใดๆ กับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ในศาลโลกในปัจจุบัน
นายนพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง และพิสูจน์ได้ด้วยเอกสารหลักฐาน เอกสารที่ตนนำมาอ้างเป็นของจริง เพราะตนไม่ชอบใช้เอกสารเท็จ และนายชวนนท์ ก็เคยเป็นเลขาฯ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ และทำงานในกระทรวงต่างประเทศหลายปี ตนจึงขอท้าให้นายชวนนท์ นำมติคณะกรรการมรดกโลกที่ระบุว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ เพราะคำแถลงการณ์ร่วมมาแสดง ตนจะบริจาคช่วยเด็กปัญญาอ่อน 1 ล้านบาท ถ้าไม่มีเอกสารมาพิสูจน์ก็ขอให้ยุติการพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเสียที เพราะบ้านเมืองเสียเวลากับการใส่ร้ายป้ายสีกันด้วยความเท็จมามากแล้ว.
วานนี้ (6 ม.ค.) ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค แนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมคนไทย รักชาติรักษาแผ่นดิน นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ ได้ร่วมจัดเสวนา หักศอกนอกทำเนียบฯ ภาคพิเศษ "ตั้งหลักประเทศไทย หยุดประชาธิปไตยสามานย์" ถึงข้อพิพาท และแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาล ต่อกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกเตรียมชี้ขาดในปีนี้
ม.ล.วัลย์วิภา กล่าวว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลได้ออกมาพูดว่า ทางรัฐบาลจะสู้ แต่จะสู้ในหนทางใด เมื่อทางกัมพูชาร้องเพื่อให้รองรับแผนที่ของทางฝรั่งเศส 1 ต่อ 2 แสนตารางกิโลเมตร ตรงนี้ทางรัฐบาลทราบว่า เราจะเสียพื้นที่แน่นอน โดยฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ที่จะยกเขตแดนให้ใคร ส่วนทางไทยยืนกรานโดยมีนัยทางคดีไปแล้ว ซึ่งเป็นเหมือนการยอมรับเรื่องเขตแดนตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี 2505 และไทยจะต้องสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารทันที ส่วนเอ็มโอยู 43 ที่กัมพูชา พูดถึงเป็นในยุคของ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีการเป็นเซ็นรับรองไปแล้ว
" ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ เมื่อฝ่ายบริหารไม่ทำหน้าที่แล้ว เราจะใช้พลังประชาชนเข้าไปกดดันทุกวิถีทาง" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
ด้านพล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลที่บอกว่ามาจากประชาธิปไตย แต่ไม่เคยทำตามหลักประชาธิปไตย อย่างการแทรกแซงสื่อมวลชนในการถอดละคร เรื่องเหนือเมฆออก หลังจากที่ละครเรื่องดังกล่าวไปคล้ายคลึงกับบางคน จนทำให้ลูกสาวทนไม่ไหว ต้องโทรศัพท์ไปฟ้องพ่อ ที่อยู่ในต่างประเทศให้ถอดละครเรื่องนี้ออกทันที ขณะเดียวกันในประเด็นของเขาพระวิหาร ตนขอตั้งข้อสังเกตถึง เจ๊ ด. ที่ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน บอกว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับนักการเมืองกัมพูชา แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับยกลูกสาวให้เขาไป ไม่รู้จะเกี่ยวข้องอะไรกับผลประโยชน์ปมเขาพระวิหาร หรือไม่
ขณะที่นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวเพื่อตั้งหลักประเทศ หยุดประชาธิปไตยสามานย์ โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ทางกลุ่มจะไปยื่นฟ้องกล่าวหารัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ ต่อศาลอาญา รัชดา เนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จกรณีไทย - กัมพูชา ต่อสาธารณะชน และในวันที่ 21 ม.ค. ทางกลุ่มจะมีการนัดชุมนุมใหญ่ เพื่อเดินขบวนไปยื่นหนังสือเรียกร้อง พร้อมกับรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วย ต่อประธานศาลฎีกา และต่อผู้นำเหล่าทัพ โดยวันนี้ มีรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยประมาณ 5.7 แสนรายชื่อ และคาดว่าภายในวันที่ 21 ม.ค. จะมีรายชื่อผู้เห็นด้วยประมาณ 1 ล้านรายชื่อ ทั้งนี้ในการชุมนุมยังไม่มีการกำหนดว่า จะชุมนุมที่จุดใด แต่จะเป็นการชุมนุมแบบม้วนเดียวจบ
**"มาร์ค" จี้"ปึ้ง"ปรับทัศนคติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เตรียมฟ้องคนที่พูดพาดพิงผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกรณี ปราสาทพระวิหาร ว่า นายสุรพงษ์จะต้องสร้างความมั่นใจในการเดินหน้าต่อสู้คดี ข้อสงสัยทั้งหลายเกิดจากการแสดงออกทำนองที่เหมือนจะแพ้ ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะพูดอย่างนั้น ขณะเดียวกัน การเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทางทะเล ก็ต้องพูดให้ชัดว่า รัฐบาลนี้ดำเนินการหรือไม่ เป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีสิทธิ์ที่จะรู้ และตรวจสอบ
ทั้งนี้ ไม่กังวลเป็นการตั้งคำถามอยู่บนพื้นฐานข้อมูลต่างๆ บนความสุจริต และเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ขณะเดียวกัน คิดว่าทีมทนายถูกกดดันจากสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องทำงานหนักขึ้น และคิดว่า ถ้านายสุรพงษ์ เปลี่ยนทัศนคติ แทนที่จะหาเรื่องคนอื่น พยายามรวมทุกฝ่ายเดินหน้าทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์รอบคอบน่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด
เมื่อถามว่าแนวโน้มที่จะสู้คดีของไทยที่ใช้ทีมทนายเดิม แต่ทางกัมพูชาเป็นถึงระดับรัฐมนตรีเป็นทนายเองนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องอยู่ที่ตัวรัฐมนตรีจะต้องประเมินตัวเองว่าใจสู้และสามารถเข้าใจประเด็นหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐมนตรีจะเดินทางไปด้วยตัวเอง
ส่วนของกรณีที่เกิดขึ้น นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาเรียกร้องว่าอย่านำประเด็นดังกล่าวมาเล่นการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามนายนพดล ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน ทางฝ่ายค้านได้ให้ความร่วมมือตลอด ในเรื่องของต่างประเทศ มีแต่คนของพรรคเพื่อไทย ที่จุดประเด็นขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่นายนพดลทำไว้ ถ้าไม่มาโจมตี และช่วยกันก็ไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันเป็นห่วงกลุ่มที่ออกมาคัดค้านว่าสถานการณ์จะบานปลาย จึงอยากให้ทางรัฐมนตรีและทางรัฐบาลทำความเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอะไร และต้องสร้างความมั่นใจให้ได้
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้ไม่เข้าใจว่านายสุรพงษ์ จะพูดถึงว่าถ้าแพ้คดีจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ควรทำหน้าที่ในการต่อสู้คดีปกป้องแผ่นดินของประเทศตัวเอง และคิดว่าถ้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ที่สุดก็ไม่มีใครว่าอะไร ส่วนอนาคตข้างหน้าแนวทางการต่อสู้ การรักษาดินแดนจะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องศึกษาแนวทางการตั้งรับ
** อัด"ปึ้ง"เตรียมโยนบาปปชป.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสุรพงษ์ ระบุว่า การต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก ไทยมีแต่เสมอตัว หรือแพ้ ว่า เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่า ยอมจำนนแม้ในอีกสองสามวันต่อมา หลังถูกวิจารณ์จะมีการแก้ข่าวว่า จะต่อสู้อย่างเต็มที่ และนำทีมไปต่อสู้คดีด้วยตัวเอง แต่ก็สะท้อนพฤติการณ์ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ รมว.ต่างประเทศ แล้วว่า ไม่มีจุดยืน และนวทางที่ชัดเจนในการต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด
ทั้งที่รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวใช้ข้อมูลทรัพยากร ระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนมาทุ่มเทในการต่อสู้คดีกว่า 1 ปีเศษที่ผ่านมา แต่รัฐบาลกลับไม่ทำอะไรเลย ส่วนที่มีการระบุว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันใช้ทนายความชุดเดิม ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้ โดยเปลี่ยนเฉพาะตัวรัฐมนตรีเท่านั้น ส่อให้เห็นถึงเจตนาพยายามที่จะเบี่ยงเบน หรือไม่รับผิดชอบ ด้วยการกล่าวโทษมายังรัฐบาลที่แล้วหากศาลตัดสินว่าไทยแพ้ ใช่หรือไม่
" ที่นายสุรพงษ์ เปลี่ยนท่าทีว่าจะเป็นตัวแทนรัฐบาลเป็นผู้นำต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ภารกิจไม่ใช่ไปจ้องหน้าให้ นายฮอนัมฮง รมว.ต่างประเทศ ของกัมพูชาเสียสมาธิ แต่ต้องเป็นผู้นำในการวางแผนเพื่อต่อสู้คดีให้นำไปสู่ชัยชนะ และสิ่งที่เกิดประโยชนต่อประเทศไทย ส่วนที่ขู่ว่าจะฟ้องร้องนั้น ผมคิดว่าควรเอาเวลาไปสู้ในศาลโลกเพื่อให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยมีความสุขดีกว่าฟ้องคนที่ออกมาตรวจสอบให้รกศาลไทย" นายองอาจ กล่าว
** "นพเหล่"ปัดไม่เกี่ยวแถลงการณ์ร่วม
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ตนรู้สึกสลดใจกับความพยายามของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่บิดเบือนใส่ร้ายอย่างต่อเนื่องว่า เป็นเพราะตนไปทำคำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาได้สิทธิ์ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
"ปราสาทเป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ศาลโลกตัดสิน เมื่อเขาเป็นเจ้าของปราสาท เขาจึงมีสิทธิ์นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก"
นายนพดล กล่าวด้วยว่า หากกัมพูชาต้องนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ที่ต้องทำแถลงการณ์ร่วม เพราะในปี 2549 ก่อนที่พวกตนเข้ารับตำแหน่ง กัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียน 1. ตัวปราสาทพระวิหาร 2. พื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และตน เป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น โดยกัมพูชา ยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ตามที่ระบุในข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประชุมที่ประเทศแคนนาดา ในวันที่ 7 ก.ค.51
อย่างไรก็ตาม อยากให้พรรคการเมือง และคนไทยทุกกลุ่ม เลิกใช้ความเท็จ และหันมาผนึกกำลังกันต่อสู้คดีที่อยู่ในศาลโลก น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามาโทษกันไปมา และบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อหวังผลการเมือง และคดีที่กำลังพิจารณาอยู่ในศาลโลกในขณะนี้ เป็นการตีความคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 50 ปีแล้ว และคดีนี้เป็นคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่กัมพูชาดำเนินการไปตั้งแต่ปี 2551 แล้ว
อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า กัมพูชาไม่สามารถนำคำแถลงการณ์ร่วมไปใช้ประกอบในการขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก เพราะประการแรกศาลปกครองได้ตัดสินว่า คำแถลงการณ์ร่วมเป็นโมฆะ และไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปอ้างอิงใดๆ และมีการรับรองและระบุชัดเจนในข้อ มติของคณะกรรมการมรดกโลกในวันที่ 7 ก.ค.51 ข้อ 5 ว่าให้ตัดคำแถลงการณ์ร่วมออกจากการพิจารณาว่า จะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน และประการที่ 2 ไทยและกัมพูชา ก็ยอมรับว่า คำแถลงการณ์ร่วมสิ้นผลแล้ว ตามหนังสือที่ นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้แจ้งไปยังกัมพูชา ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมจึงไม่มีผลใดๆ กับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ในศาลโลกในปัจจุบัน
นายนพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง และพิสูจน์ได้ด้วยเอกสารหลักฐาน เอกสารที่ตนนำมาอ้างเป็นของจริง เพราะตนไม่ชอบใช้เอกสารเท็จ และนายชวนนท์ ก็เคยเป็นเลขาฯ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ และทำงานในกระทรวงต่างประเทศหลายปี ตนจึงขอท้าให้นายชวนนท์ นำมติคณะกรรการมรดกโลกที่ระบุว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ เพราะคำแถลงการณ์ร่วมมาแสดง ตนจะบริจาคช่วยเด็กปัญญาอ่อน 1 ล้านบาท ถ้าไม่มีเอกสารมาพิสูจน์ก็ขอให้ยุติการพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเสียที เพราะบ้านเมืองเสียเวลากับการใส่ร้ายป้ายสีกันด้วยความเท็จมามากแล้ว.