“สุรศักดิ์” ตอกย้ำมนต์ขลัง กสทช.เสื่อม ไม่สนองเจตนารมณ์ รธน. ครอบงำสื่อเสียเอง ด้าน “จุฑารส” กระทุ้งต่อมสำนึก วอนกลับตัวสังคมยังให้โอกาส ขณะที่ “สุทัศน์” แนะแยกแยะกลุ่มไลน์เก่ากับไลน์ใหม่ให้ออก พ้อจำเป็นยื่นถอดถอนกำจัดเนื้อร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 ต.ค. นายสุรศักดิ์ ศิริพรอดุลศิลป์ อาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, น.ส.จุฑารส พรประสิทธิ์ ตัวแทนศูนย์ประสานงานเพื่อการปฏิรูปสื่อ และนายสุทัศน์ วิมลสม ณ หนองคาย ตัวแทนคนพิการ ร่วมสะท้อนมุมมอง 1 ปี กสทช.เพื่อชาติ เพื่อใคร? ผ่านรายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานี ASTV
นายสุรศักดิ์ หนึ่งในตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนที่ยื่นถอดถอนคณะ กสทช.ทั้ง 11 คน ออกจากตำแหน่ง กล่าวว่า ด้วยความที่ประชาชนหน่ายกับ พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกของ กสทช. เพียงเดือนเดียวสามารถรวบรวมรายชื่อผู้ไม่พอใจการทำหน้าที่ของ กสทช.ได้กว่า 5 หมื่นรายชื่อ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างกรณีการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3จี เพียงแค่ใช้หลักสามัญสำนึกของคนธรรมดา ก็พอจะรู้ได้ทันที จะทำให้ถูกต้อง มีการแข่งขันอย่างเสรี ต้องมีของประมูลน้อยกว่าผู้เข้าร่วมประมูล แต่นี่จำนวนผู้เข้าประมูลลงตัวกับช่องคลื่นความถี่ แถมยังกำหนดให้แบ่งเท่าๆ กัน พูดง่ายๆ ใครจะไปเสียเงินเพิ่มในการประมูล อยู่เฉยๆก็ได้ของอยู่แล้ว
คณะกรรมการ กสทช.มีหน้าที่หลักในการปฏิรูปสื่อ ควบคุมดูแล จัดสรรคลื่นความถี่เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน แต่หากคนกลุ่มนี้เองมีจริยธรรมไม่ค่อยจะดี ครอบงำ ซื้อสื่อเสียเอง ดังนั้นจะปล่อยให้รับภาระหนักตรงนี้ต่อไปคงลำบาก
“สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ถึงเหตุเขาเปลี่ยนจากระบบสัมปทานไปเป็นการประมูล เพราะการสัมปทานเขาจะลดค่าสัมปทาน จาก 20% เหลือ 6% นั่นก็คือ ส่วนต่าง 14% ที่สามบริษัทนี้ได้คืนปีหนึ่งประมาณ 4 หมื่นล้าน”
นายสุรศักดิ์กล่าวต่อว่า คำว่าปฏิรูปสื่อ จริงๆ แล้วเราจะต้องให้ภาคประชาชนมีสิทธิในการใช้สื่อ ดังเจตนารมณ์ที่เขียนไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 47 ว่าเป็นทรัพย์ยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นการออกกฎเกณฑ์ต่างๆ คณะ กสทช.ต้องมองถึงประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลัก อย่างเช่น การจัดสรรคลื่นวิทยุ ไม่ใช่สักแต่จะอ้างเทคนิคจัดคลื่นให้เท่ากัน โดยไม่คำนึงว่าสถานีไหนสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ สถานีไหนเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง จะอ้างมีปัญหาเยอะเนื่องจากมีสถานีวิทยุกว่า 7 พันสถานีไม่ได้ เพราะถ้าจำกัดความหมายคำว่า วิทยุชุมชน ต้องเป็นวิทยุที่ก่อตั้งโดยประชาชนอยู่ได้โดยเงินบริจาคของประชาชน ไม่มีการครองงำจากรัฐ และไม่แสวงหาผลกำไร ฉะนั้นหาก กสทช. คัดแยกตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะเหลือไม่เกิน 200 สถานี
“หาก กสทช.ยังมองมุมเดิม ถามว่าวิทยุชุมชุนซึ่งมีการโฆษณา กับคลื่นเก่าที่ได้สัมปทาน คือภาคธุรกิจเหมือนกันหรือป่าว แล้วมันจะปฏิรูปสื่อตรงไหน กระบวนการทำหน้าที่ของ กสทช. ถูกต้องหรือไม่”
นายสุรศักดิ์กล่าวถึงอิทธิพลของสื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ในทุกพื้นที่ของชุมชน แต่เดิมประชาชนเคยคาดหวังกับคณะ กสทช. ว่าจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงกรอบความคิดให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้ จนขนานนามว่าเป็น 11 อรหันต์ แต่ขณะนี้พฤติกรรมหลายๆอย่างที่แสดงออกมาส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
ขณะที่ น.ส.จุฑารส กล่าวทุกอย่างเป็นเรื่องสามัญสำนึก ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร แต่สิ่งที่แสดงออกมาเห็นชัดจัดตามหน้าหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ ให้เอกชน 3 รายเล่นเก้าอี้ดนตรีโดยมีเก้าอีสามตัว ก็สรุปทุกคนได้ หรือถ้าหากจะอ้างแข่งทำเลพื้นที่ ก็พบคนที่ประมูลจ่ายเงินเพิ่ม หรือจับสลากได้ ก็ไม่ได้เลือกห้องตามที่ กสทช.อ้างว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุดแต่อย่างใด แบบนี้เรียกว่าล้มเหลวหรือไม่
“เจตนารมณ์ที่นักกฎหมาย เปลี่ยนระบบจากสัมปทานเป็นการประมูล เพราะต้องการเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขัน เมื่อ กสทช.ไม่ทำให้เป็นไปตามเจตนารมณ์กฎหมาย ไม่มีการแข่งขันตรงนี้แล้วจะตอบสังคมว่าอย่างไร”
น.ส.จุฑารสกล่าวต่อว่า กสทช.สร้างสภาวะความจราจลทางคลื่น ทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรง ไม่เคยเจอภาวะจอดำก็ได้เจอ อยากเห็น กสทช.กลับตัวเปลี่ยนมุมมอง ยังไม่สายที่จะหันหลังกลับมาฟังเสียงปชช.บ้าง ขอให้คุณธรรมความดีชนะจิตใจคณะ กสทช.ทุกท่าน
ด้านนายสุทัศน์กล่าวว่า คลื่นวิทยุเสียงธรรม ได้เปลี่ยนชีวิตคนพิการอย่างตน ให้มีกำลังใจสู้ชีวิตเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แต่พฤติการณ์ของ กสทช.ขณะนี้กำลังริดรอนสิทธิ์ด้วยการจำกัดรัศมีส่งสัญญาณลง ทำให้ไม่สามารถรับฟังได้ เรื่องนี้ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ อย่ารอให้ผลกระทบตกถึงลูกหลานท่านก่อนถึงจะออกมา เราต้องการคนที่พร้อมจะทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงจำเป็นต้องยื่นถอดถอนเอาเนื้อร้ายออก
“กสทช.สามารถทำอะไรดีๆ ให้สังคมได้เยอะ ผมออกมาถอดถอนก็รู้สึกลำบากใจ แต่เมื่อนึกถึงประโยชน์ส่วนรวม ก็ถึงคราวจำเป็นต้องทำ กสทช.ควรมีความเป็นธรรมสักนิด มองกลุ่มไลน์เก่ากับไลน์ใหม่ให้ออก ทุกสิ่งทุกอย่างตัวท่านคงรู้ดี สังคมไทยเป็นสังคมเมตตาอยู่แล้วน่าจะยังไม่สายหากทานจะกลับใจ”
