ผ่าประเด็นร้อน
ไม่รู้เป็นเพราะ “นายใหญ่” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร กำลัง “หน้ามืด” อยากกลับบ้านโดยไม่ต้องมีความผิด ไม่ต้องเข้าคุก เมื่อมาเจอ “ลูกโม้” แบบน้ำไหลไฟดับประเภทว่า ดีครับนาย เชื่อผมเถอะไม่มีปัญหา พวกประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ ไม่มีน้ำยาแล้ว เดี๋ยวผมจัดการให้เสร็จสรรพ พูดแบบนี้อาจทำให้เคลิ้ม มอบหมายให้เป็นทัพหน้าสำหรับดำเนินการ ส่วนจะติดปลายนวม โดยแลกกับเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญ อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศตามข่าวหรือเปล่า เพราะมันลงล็อกพอดีเป๊ะ
ได้เห็นโปรแกรมเคลื่อนไหวของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่วงในบอกว่าจะมานั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่กำลังออกโรงเริ่มภารกิจสำคัญครั้งใหม่ โดยวันที่ 28 ตุลาคมจะมีการเปิดสัมมนาบรรดาผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าฯ นายอำเภอ ผู้บังคับการ รองผู้การฯในภาคอีสานประมาณไม่ต่ำกว่า 1,500 คน นัยว่าเพื่อระดมความเห็นสำหรับการเดินเครื่องเสนอกฎหมายปรองดองจอมปลอมและ “แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับแม้ว” อีกรอบ
พิจารณาจากการเคลื่อนไหวเท่าที่เห็นเป็นความพยายามเปิดเกมใหม่โดยการเข้าหามวลชน โดยจะเน้นมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตัวเองเป็นหลัก โดยสังเกตจากการพื้นที่ในภาคอีสานเป็นประเดิม และที่สำคัญคราวนี้ยังเป็นการใช้กลไกอำนาจรัฐที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับท้องถิ่น อย่างกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครองผ่านทาง จังหวัด อำเภอ และรวมไปถึงตำรวจภูธร ที่ต้องรับรู้กันดีอยู่ว่ามีอิทธิพลชี้นำชาวบ้านได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ดี นั่นคงเป็นความเชื่อของ ทั้งคนที่ “รับอาสา” มาทำงานสำคัญ อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ได้รับปากเอาไว้กับ “นาย” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหวังแลกกับตำแหน่งแห่งที่ หลายคนก็มองเห็น ส่วนความเคลื่อนไหวที่เห็นนั้นมันจะเป็น “ความหวังดีแบบประสงค์ร้าย” มีเบื้องหลังหรือเปล่า ก็ลองตรองดูกันเองแล้วกัน
เพราะหากพิจารณากันถึงบทบาทความเคลื่อนไหวของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะการประกาศว่าจะ “พาทักษิณ” กลับบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดแบบนี้ถือว่าเป็นจิตวิทยาเบื้องต้น ย่อมทำให้ ทักษิณ รู้สึกพอใจ มีความคิดฝันไปว่า “จะเป็นจริง” ทุกที
แต่อีกด้านหนึ่งอย่างที่บอกว่านี่คือการหวังดีแบบประสงค์ร้าย เพราะวิธีการแบบนี่แหละที่ทำให้โอกาสกลับมาของ ทักษิณ ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับคราวก่อนที่พอขยับเสนอร่างพระราชบัญญัติลบล้างความผิดโดยอำพรางมาในชื่อ “ปรองดอง” และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเป้ามหมายเดียวกันก็เกิดความเคลื่อนไหวต่อต้านกันอย่างขนานใหญ่ออกมาในลักษณะ “สามัคคีชุมนุม” ที่นานๆครั้งจะได้เห็น แต่เมื่อสังคมเกิดความรู้สึกร่วมว่า “ถูกเอาเปรียบ” ให้เห็นอย่างชัดเจน เห็นว่าทักษิณทำตัวเป็น “อภิสิทธิชน” ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน อารมณ์ต่อต้านที่พุ่งสูงขึ้นมาจากปัจจัยสำคัญก็คือการบริหารของรัฐบาลที่ล้มเหลว “ห่วยแตก” อย่างที่เห็น ซึ่งเมื่อรัฐบาลล้มเหลว เต็มไปด้วย การทุจริตความหมายของสโลแกนที่เคยแขวนเอาไว้ประเภทที่ว่า “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” ที่ผ่านมาเคยหลอกต้มมานาน แต่เมื่อเจอของจริงอย่างที่เห็นมันเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เชื่อก็ลองบอกมาสักเรื่องว่าตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ามาชาวบ้านทั่วไป นอกเหนือจากพวกหัวโจกเสื้อแดงแล้วใครมีความสุขบ้าง
หากจะเถียงว่าโครงการจำนำข้าว ค่าแรงวันละ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี แต่เอาเข้าจริงลองไปสำรวจดูว่าตามโรงงาน องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ ที่สำรองเงินงบประมาณต้องแบกภาระประจำเพิ่มขึ้นอีกเดือนละเท่าไหร่ หรือแม้แต่จำนำข้าวที่อ้างว่าชาวนาชอบใจ แต่ถามความจริงเถอะว่าต้องถูกหักค่าความชื้น ถูกหักค่าสิ่งเจือปนออกไปจนเหลือกี่พันบาท และที่สำคัญหลังจากจำนำไปแล้วได้รับเงินแล้วหรือยัง เพราะล่าสุดเริ่มมีเสียงโวยวายออกมาแล้วว่าผ่านมา 3-4 เดือนยังไม่ได้รับเงินสักบาท
นี่ยังไม่นับเรื่องข้าวของแพง ค่าครองชีพสูงลิบ คำพูดของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เคยโม้เอาไว้ว่าจะ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมา แต่ผลออกมากลายเป็นตรงกันข้าม ไม่สมราคาคุย
เมื่อหันกลับมาพิจารณาถึงความเคลื่อนไหวเปิดเกมอีกรอบของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพยายามใช้กลไกมวลชนมาบังหน้า แต่ก็นั่นแหละในเมื่อสังคมจับได้ไล่ทันมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน แต่เป้าหมายก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง คนก็รู้ทัน ขยับกันคราวใดก็ย่อมมีกระแสต่อต้านทันที และเชื่อว่าจะหนักหน่วงกว่าเดิม เพราะนี่คือความพยายามอยู่เหนือกฎหมายของคนทุจริต
ที่สำคัญนี่ก็คือความเคลื่อนไหวของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อีกครั้ง เป็นบทบาทที่ฮึกเหิม เหิมเกริม หลังจากที่เข้ามามีบทบาทล้ำหน้าคนอื่นในรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อหลายปีก่อน คราวนั้นเขาก็มีบทบาทไม่ต่างกัน ออกมาในลักษณะ “กร่าง” จนเกินพอดี ตัวเองอาจรู้สึกสนุกคึกคะนอง ไม่ต่างจาก “จิ๊กโก๋ปากซอย” แกว่งปากหาเรื่องไปทั่ว และในที่สุดก็เป็นสาเหตุทำให้รัฐบาล “น้าชาติ” ต้องล่มสลาย แต่ผ่านไปหลายปี เฉลิม ก็กลับมาใหม่อีกรอบ คราวนี้ด้วยจังหวะและโอกาสในท่ามกลางรัฐบาลที่มีผู้นำและรัฐมนตรีคนอื่นที่อ่อนด้อยกว่าทำให้ตัวเองมีความได้เปรียบ มีบทบาทเหนือคนอื่น แต่อีกด้านหนึ่งนี่คือตัวเร่งทำให้ทุกอย่างล่มสลายเร็วขึ้นหรือไม่ เพราะตัวบุคคลเท่าที่เห็นไม่ต่างจากสายส่อฟ้า หากไม่สรุปบทเรียน!!