กมธ.ตำรวจ เชิญผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูลคดีของ “พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์” ลูกชายข้องใจ ตร.ทำเกินกว่าเหตุ ตรวจค้นถี่ อ้างพ่อไม่คิดหนีพร้อมมอบตัว ผบช.ภ.7 แจงโทร.ประสานแล้ว ชี้ กม.ไม่ระบุเรื่องนำกำลังจับกุม ยันผู้ต้องหาเลี่ยงถูกจับกุม จี้แจงเรื่องโครงกระดูก ผบก.ภ.จว.เพชรบุรีเผยดำเนินการถูกต้อง ลุยเต็มที่ปัดครหาช่วยพวกพ้อง “ปานศิริ” ยกเหตุ ผบ.ตร.สั่งกองปราบปรามสอบเพื่อความสบายใจญาติเหยื่อ พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาก่อนตามด้วยข้อหาหนัก ทนายผู้ต้องหาลั่นฟ้องกลับตั้งข้อหามั่ว นัดพบลูกความพรุ่งนี้ กมธ.นัดสัปดาห์หน้าสืบการใช้อำนาจรัฐ
วันนี้ (17 ต.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการประชุม ประธาน เพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนของนายเอก เลาหะวัฒนะ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และดำเนินคดีต่อ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ บิดา อย่างไม่เป็นธรรม โดย กมธ.เชิญนายเอก เลาหะวัฒนะ ผู้ร้อง, พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยรองผู้บัญชาการตำรวจ, พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7, พ.ต.อ.พิชัย ปกป้อง ผกก.ท่าไม้รวก, พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และหัวหน้าพนักงานสอบสวนในและชุดพนักงานสอบสวน เข้าร่วมชี้แจง โดยนายสมชายกล่าวว่า ประเด็นการพิจารณาจะอยู่ในขอบเขตเรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปโดยชอบหรือ มีการกลั่นแกล้งหรือไม่ การใช้กำลังจับกุมเกินกว่าเหตุหรือเปล่า รวมถึงมีการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ตามที่ลูกชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ร้องมาว่าจะเป็นการชี้นำสังคมให้ดูเหมือนว่า พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์กระทำความผิดจริง และการร้องขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่อยากให้ล้วงลึกไปถึงข้อมูลการสอบสวน เพราะอาจกระทบต่อรูปคดีได้
นายเอกกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากจับกุมพ่อของตน ขณะที่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ก็ได้แจ้งกับทางตำรวจพร้อมเข้ามอบตัวพร้อมหลักฐานทุกอย่าง ในวันที่ 27 ก.ย. เนื่องจากวันที่ 24-25 ก.ย. ติดคดีขึ้นศาลเยาวชน และถ้าพ่อของตนต้องการจะหลบหนีคดีจริงๆ ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.แล้วทำไมพ่อของตน ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่ามีการเตรียมหลบหนีอาจจะออกชายแดน จะต้องเดินทางกลับมายัง จ.เพชรบุรีอีกครั้ง นอกจากนี้การออกหมายเรียก หมายจับก็พยายามกระทำในเวลากระชั้นชิด รวมไปถึงการออกหมายค้นตามที่พบกระบอกปืนภายในบ้านจำนวนมาก ซึ่งพ่อของตนก็พยามรวบรวมเอกสารเพื่อเข้ามอบตัวอยู่ แต่เนื่องจากมีเอกสารจำนวนมากจึงต้องใช้เวลา
พล.ต.ท.หาญพลชี้แจงว่า ก่อนที่จะมีการใช้หมายค้นภายในบ้าน พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ก็ได้มีการโทรประสานกับเจ้าตัวก่อนแล้ว ซึ่ง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เองก็อนุญาตและยังบอกว่าไม่ต้องใช้หมายค้นก็ได้ แต่ตนก็ปฏิเสธขอทำตามหน้าที่ และจากการตรวจค้น พบอาวุธปืน47 กระบอก ที่มีป้ายทะเบียนบางจำนวน และเครื่องกระสุนอีกกว่า 1,000 นัด ต่อมาเราจึงได้มีการออกหมายจับ ซึ่งยังคิดว่าถ้าวันนั้น พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ยอมเข้ามอบตัวก่อน เชื่อว่าก็ยังคงไม่ถูกจับกุม และการเข้ามอบตัวของระดับ พ.ต.อ.พิเศษ สามารถใช้ตำแหน่งประกันตัวเองก่อนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ และเรื่องการพยายามรวบรวมเอกสารการครอบครองอาวุธปืน เราก็ไม่ได้รีบ แต่สิ่งที่ทางตำรวจออกหมายจับเพราะพบกระดูกศพ อยากให้ชี้แจงตรงนี้มากกว่าเกิดอะไรขึ้น จนการออกหมายจับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ก็พยายามเลี่ยงไปเรื่อยๆ ว่าอยู่ กทม. ทั้งที่จากการติดตาม มีการเดินทางไปยัง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเปลี่ยนรถถึง 3 คัน และระหว่างทางที่ไปกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้ลงกลางทาง และเราก็สืบทราบมาว่า พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ มีเพื่อนเป็นนักเดินป่า ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการพยายามหลบหนีออกชายแดนหรือไม่ แต่มีความพยายามหลบเลี่ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหาจะต้องจำกัดจำนวนเจ้าหน้าที่ จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่อย่างไรก็ได้เพื่อไม่ให้เกิดการหลบหนี และวันที่จับกุม ตนก็เดินทางไปด้วยตัวเอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ 15 นาย ปิดล้อมรีสอร์ตที่ จ.เพชรบุรี และเฝ้าเส้นทางรอบพื้นที่ รวมแล้วไม่เกิน 40 นาย เท่านั้น
พล.ต.ต.วิทยาชี้แจงด้วยว่า ส่วนเรื่องที่ต้องมีการขอหมายศาลมาขุดไร่เป็นจำนวนถึง 13 ครั้ง เพราะต้องการแสวงหาพยานหลักฐานให้มากที่สุด และตำรวจก็ไม่ได้ฟังแค่พยานที่เป็นคนงานต่างด้าวเพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่เป็นการปลักปลำ พนักงานสอบสวนแต่ละท่านก็เป็นผู้มีประสบการณ์ในงาน สามารถแยกแยะข้อมูลได้ ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการตามที่มีผู้ร้องเรียนมาด้วย รวมถึงกรณีที่มองว่าทำไมต้องถึงขั้นตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท ก็เป็นไปเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ขณะที่ทาง กมธ. นายจักรภพ เทพเสนา เลขาประจำ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองประธานกมธ. พยายามซักถามว่าการออกหมายจับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์มีการแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบ สตช.หรือไม่ โดย พล.ต.ต.พีรชาติ รื่นเริง ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เพชรบุรี ชี้แจงว่า เนื่องจากช่วงที่มีการออกหมายจับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์อยู่ระหว่างลาหยุด แต่ก็ได้มีการประสานไปยังผู้บัญชาการ แพทย์ใหญ่ในเวลานั้นแล้ว อีกทั้งการจะออกหมายจับได้ ต้องขอออกหมายเรียกก่อน แต่สำหรับคดีนี้มีอัตราโทษเกิน 3 ปี และเป็นคดีพิเศษในดุลยพินิจของศาลที่ไม่ต้องออกหมายเรียกก่อนได้ จึงมีการจับกุม เพราะถ้าเราปล่อยไว้ล่าช้าอาจเสียรูปคดีและโดนกล่าวหาช่วยเพื่อนตำรวจด้วยกันได้
อย่างไรด็ตาม พล.ต.อ.ปานศิริชี้แจงว่า คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสังคม และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก หลังจากมีเรื่องร้องเรียน ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็สั่งการให้พนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามเข้าไปร่วมสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ด้วย เพื่อคลายความกังวลใจของทางญาติ พร้อมกับขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ จำนวน 3 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันกักขัง หน่วงเหนี่ยว ลักทรัพย์ ลักของโจร 2. การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต 3. การค้ามนุษย์ และที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าของพยานหลักฐานกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่า และปิดบังซ่อนเร้นศพ
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายทาง กมธ.ได้สอบถามนายเอก และฝ่ายทนายความ ว่ายังมัปัญหาติดใจอยู่หรือไม่ โดยนายเอกกล่าวว่า ก็พอใจในส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งหน่วยพนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามมาร่วมตรวจสอบ แต่ในเรื่องที่มองว่าพ่อของตนพยายามหลบหนีคดี ตนคิดว่าไม่ใช่
ด้าน นายจุติ สวนรักษา ฝ่ายทนายความกล่าวว่า ยังมีอีกหลายประเด็นที่คาดว่าจะไปชี้แจงในขั้นตอนศาลแทน แต่เร็วๆ นี้เตรียมจะมีการร้องดำเนินคดีผู้กล่าวหาหลายบุคคลด้วย ซึ่งการตั้งข้อหา พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ว่ากักขังหน่วงเหนี่ยว ค้ามนุษย์ ไม่สามารถรับฟังได้ พร้อมกับจะได้ไปพบ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ขณะที่นายสมชายกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะพิจารณาในส่วนของการใช้อำนาจรัฐที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการไป และใช้อำนาจรัฐโดยชอบหรือไม่