ผบ.ทบ.เป็นประธานวันสถาปนา พล.ร.2 รอ.ครบรอบ 38 ปี ก่อนให้ข่าวกับสื่อ เผยสถานการณ์ค้าขายวันศุกร์ดีขึ้น พ่อค้า-แม่ค้า ทำการค้าขายร้อยละ 30 เผย สตช.เตรียมผลิตตำรวจ 6 พันอัตราลงใต้ พื้นที่ไหนรุนแรง ทหารจะเข้าไปดู วอนสงสารทหาร ให้กำลังใจบ้าง ส่วนเรื่องชายชุดดำ ยันมีแน่ แต่ทำมึนไม่รู้สีไหน วอนว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (12 ต.ค.) ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จ.ปราจีนบุรี เมื่อเวลา 09.30 น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางมาเป็นประธานวันสถาปนา พล.ร.2 รอ.ที่ครบรอบ 38 ปี โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสนาธิการทหารบก, พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม่ทัพภาคที่ 1 และนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมงาน ซึ่ง พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผบ.พล.ร.2 รอ.ได้จัดแสดงความพร้อมรบของหน่วยกองพันทหารราบเฉพาะกิจที่ 3 กรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 1 พร้อมการจัดการสวนสนามของรถยานเกราะล้อยาง บีทีอาร์ 3 อี 1 เพื่อเป็นเกียรติให้ ผบ.ทบ.นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตทางยุทธวิธีซุ่มโจมตี และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวให้โอวาทกำลังพล ว่า วันนี้ต้องเตรียมความพร้อมในการรบรูปแบบใหม่ คือ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว อาชญากรรมข้ามชาติ และสิ่งต่างๆ อีกมากมาย เพราะโลกในปัจจุบันไร้พรมแดน สำหรับภารกิจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ขอให้ทุกคนต้องอดทน เข้มแข็ง และเตรียมการปฏิบัติให้ได้ ภาคใต้เป็นสงครามกองโจร รบแบบไม่เปิดเผยตัวเอง ถ้าเป็นการรบแบบเปิดเผยตัว จะไม่มีปัญหา เพราะตนไม่เคยกลัวใคร และคิดว่าเราเป็นที่หนึ่งของภูมิภาคนี้ เพราะฉะนั้นกำลังพลทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง บูรณาการร่วมกับพลเรือน ตำรวจ ทหาร หน่วยราชการ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ได้ และต้องเข้าให้ถึง อยากให้พยายามอย่างเต็มที่ เพราะทุกคนฝากความหวังไว้ จะโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นไม่ได้ เราเป็นทหารของชาติ ตนได้กำชับกับทุกส่วนราชการในนามของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน.ว่า ต้องแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น เราจะเสียโอกาสในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราคือเสาหลักแห่งความมั่นคง เสาหลักอันนี้จะไม่มีเสถียรภาพ และสมบูรณ์ หากแก้ไขปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้
“สิ่งที่สำคัญที่ต้องยึดถืออยู่เสมอ คือ ความมีอุดมการณ์ของทหารอาชีพ มีหน้าที่เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นั่นคือ สิ่งสำคัญที่สุด ท่านต้องอย่าลืมคำที่ผมกล่าวไปนี้ ความซื่อสัตย์สุจริต และความจงรักภักดี เป็นบ่อเกิดแห่งความเกรงใจ ความซื่อสัตย์สุจริตจะเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นอนาคตของบ้านเมือง ฉะนั้น กำลังพลทุกคนขอให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อยู่ด้วยความผูกพัน ไม่ว่าจะเหล่าใดหน่วยใด ต้องมีความรักความสามัคคีเหมือนญาติเหมือนครอบครัว และต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน และหน้าที่ต่างๆ ที่ได้รับมามากมาย ท่านจะทำได้เมื่อนึกถึงตัวเองให้น้อยลงที่สุด และนึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อย่าคิดว่า กองทัพบกและชาติจะให้อะไรแก่ท่าน ท่านต้องคิดว่าจะให้อะไรกับประเทศชาติ ทหารเป็นกลไกหลักของประเทศ ภายใต้การบริหารของรัฐบาลที่เป็นไปตามกฎหมาย นั่นคือ หน้าที่อันสำคัญยิ่ง และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน คือ การช่วยเหลือประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ในภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการส่อมอบรถเกราะล้อยาง บีทีอาร์ 3 อี 1 ว่า ในโครงการแรกได้มีการทยอยส่งมอบมาแล้วกว่า 50 คัน จะมาครบทั้งหมด 96 คันปลายปีนี้ ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการทั้งหมด 3 ปี ส่วนโครงการที่ 2 จำนวน 121 คัน ขณะนี้ได้เริ่มทยอยส่งมอบแล้วเช่นกัน คาดว่า จะได้รับมอบจนครบจำนวนทั้งหมดปลายปี 57 ทั้งนี้ ในโครงการที่ 2 จะนำเข้าประจำการที่ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 ด้วยซึ่งจะทำให้ พล.ร.2 รอ.มีรถเกราะเข้าประจำการครบทุกกรม ตามแผนการจัดโครงสร้าง ที่ให้ พล.ร.2 รอ.เป็นกองพลยานเกราะ ส่วนของรถถัง oplot จะส่งมอบเสร็จสิ้นในปี 2559 ถือว่าเป็นรถถังที่มีศักยภาพน่ากลัว ทันสมัย แม่นยำ รู้สึกพอใจ เพราะราคาที่ซื้อมาถูกกว่าที่อื่นพอสมควร แต่ความรุนแรงและสมรรถนะเทียบเคียงกับของราคาแพง เราต้องมีความแข็งแรงในตัวเองเพื่อให้เขาเกรงใจ และมีศักยภาพพอที่จะพิทักษ์ผลประโยชน์แห่งชาติได้ เพราะไม่ทราบวันข้างหน้าจะมีเหตุกระทบกระทั่งจนเกิดความขัดแย้งหรือไม่
ส่วนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าลูกน้องทหารของตนได้ปฏิบัติการรบเป็นหมวดหมู่กองร้อยนั้น จะไม่มีใครสู้เราได้ แต่ในพื้นที่ภาคใต้เป็นการรบในเมือง ถ้าเรารบเต็มรูปแบบจะมีคนตายจำนวนมาก ในฐานะผู้บังคับบัญชา รู้สึกห่วงใยทหารทุกวัน บางครั้งก็นอนไม่หลับ แต่การแก้ไขปัญหาด้วยกำลังสุ่มเสี่ยงต่อการลุกลามบานปลาย เราทำได้คือดูแลเป้าหมายที่อ่อนแอ คือ พระ ครู วัด โรงเรียน ซึ่งโจรเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่บอกว่าที่รบกันทุกวันนี้เพราะทหารอยู่ในพื้นที่ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เป็นผู้ที่กระทำให้เกิดเรื่องซึ่งมันไม่เป็นธรรม
ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ข่มขู่ไม่ให้ค้าขายทุกวันศุกร์นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้พ่อค้าแม่ค้าออกมาค้าขายได้ 30% แล้วถือว่าดีขึ้น ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้รับรายงานว่า ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสื่อบอกว่า ประชาชนไม่กล้าออกมาขายของ เท่ากับว่า เราขยายคำขู่ของโจรมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดี ประชาชนก็ไม่กล้าออกมาค้าขาย ดังนั้น สื่อต้องปลุกคนให้ออกมาสู้ ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งผลิตตำรวจเพิ่มอีก 6,000 นาย ซึ่งในเดือน พ.ย.จะลงพื้นที่จำนวน 1,800 นาย และอีก 2,100 นาย กำลังผลิตเพิ่มส่งตามลงไป ทั้งนี้ นายกฯได้อนุมัติงบประมาณเรียบร้อยแล้วสามารถจะดำเนินการได้ภายในเดือน พ.ย.นี้
“นี่คือ งานความมั่นคงเชิงรุกและป้องกัน จากทั้งหมด 31 อำเภอ มีเพียงไม่กี่อำเภอที่เกิดเหตุการณ์ โดยจะต้องกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจน หากพื้นที่ไหนรุนแรงทหารจะเข้าไปดูเป็นหลักและเสริมด้วยทหารพราน พื้นที่ไหนที่เป็นจุดเสี่ยงและมีช่องว่างอยู่ก็ต้องแก้ไขให้ได้ หากเราไม่ลุกขึ้นสู้ก็จะนำไปสู่การเสียดินแดน เพราะอาจไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นการสูญเสียอำนาจรัฐ เราจะปล่อยให้โจรขู่ไปเรื่อยๆ หรือ ผมอยากถามว่า เราจะยอมเป็นเบี้ยล่างของไอ้โจรห้าร้อยต่อไปหรือ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากให้สงสารทหาร ส่งกำลังใจให้เขาบ้าง อย่าบอกแต่ว่าทหารบกพร่องรบไม่ได้ ซึ่งถ้าเรารบเต็มรูปแบบพวกโจรจะสู้เราได้หรือไม่ แล้วปัญหามันจะบานปลาย เราต้องแก้ในสิ่งพลาดอยู่ให้ดีที่สุด กว่า 3,000 เหตุการณ์ ทหารโดนลอบทำร้ายแค่ 2 เหตุการณ์ ก็ถือว่าเราสำเร็จด้านการป้องกันแล้ว 90% ส่วนกรณีที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า จะหารือร่วมกับหน่วยข่าวกรองของประเทศมาเลเซียในเดือน พ.ย.นี้ นั้น เราก็คุยกันมาตลอด เพราะนายกฯ มอบหมายให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ดูแลปรับปรุงเรื่องการข่าว อย่ามาพูดว่าการข่าวดีหรือไม่ดี เพราะการข่าวลับไม่ได้ฝึกได้ในปีเดียว ที่ปลอดภัยเพราะได้มีการข่าวแจ้งเตือน
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ยังมีน้ำท่วมขังใน จ.ปราจีนบุรี ว่า จากได้พูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ทราบว่า ระดับน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีลดตามลำดับ ต่อไปจะเป็นการสำรวจเรื่องความเสียหายว่าเป็นอย่างไร รวมถึงการฟื้นฟูประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ รู้สึกภูมิใจที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ชื่นชมทหาร ในส่วนของ พล.ร.2 รอ. มณฑลทหารบกที่ 12 และจังหวัดทหารบกสระแก้ว ทุกคนมาช่วยอย่างเต็มที่และเต็มใจ ในส่วนของการดำเนินการโครงการแก้มลิงในต้องดูทั้งระบบ โดยมี 2 ส่วน ส่วนแรก อยู่ในพื้นที่ กทม.ซึ่งรัฐบาลได้สำรวจดูและดีใจที่ทหารดำเนินการไปแล้ว ในส่วนของต่างจังหวัดต้องดูตั้งแต่ภาคเหนือ จนมาถึงภาคกลางตอนล่าง ว่า จะพร่องน้ำกันอย่างไร รวมทั้งกำหนดว่าตรงไหนเป็นแก้มลิง ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในแผนงานของรัฐบาล แต่ถ้าผ่านพื้นที่ของหน่วยทหารเราก็ยินดีจะให้ใช้เป็นแก้มลิง
“ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นที่น้ำไม่ท่วมมากเหมือนปีก่อน แต่ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้เสมอ ผมได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 1-4 จัดทำแผนในการช่วยเหลือน้ำท่วมให้สอดคล้องกับนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการว่า หากทหารต้องออกไปปฏิบัติงาน ให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทันทีในเรื่องงบประมาณ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ จัดแรลลี่ตามรอยชายชุดดำว่า ในส่วนของข้อมูลของชายชุดดำ เราก็มีอยู่แล้ว เป็นเรื่องของทางกฎหมาย ในส่วนของกระบวนการยุติธรรม ต้องสอบสวนกันไป แต่ชายชุดดำจะมีหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่รู้ว่ามีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ประชาชน ทหาร ตำรวจ ซึ่งต่างฝ่ายก็กล่าวอ้างกัน อีกฝ่ายก็บอกว่าทหารยิง ทางทหารก็บอกว่าถูกคนที่แต่งกายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นสีแดง สีดำ หรือเหลือง แต่มันยิงมาใส่ทหาร ขว้างระเบิดมาใส่ทหาร ก็ต้องไปพิสูจน์หาให้เจอ
“คำว่าชายชุดดำ ไม่ใช่ว่าต้องใส่ชุดดำ พอไม่ใส่ชุดดำแล้วบอกว่าไม่ใช่ มันก็คงไม่ใช่นะ จะชุดอะไรก็ได้ แต่วันนั้นพูดกันว่าชุดดำ เพราะแต่งชุดดำวันนั้น วันที่เกิดเรื่องวันแรก (10 เม.ย.) หลังจากนั้น มันก็ไม่ได้แต่ง แต่จะถามว่า แล้วมีรูปที่มันยิงหรือไม่ ใครจะไปถ่ายรูปมันได้ ก็ต้องรอรูปจากสื่อมวลชน ทหารออกไปในตอนนั้น ไม่คิดว่าจะมีคนใจร้ายแบบนี้ออกมาเท่านั้นเอง และเมื่อเขาใจร้ายใส่เรา เราก็ยังไม่ได้ตอบโต้ ผมถามว่า ลูกน้องที่นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลว่าเห็นคนยิงเขาหรือไม่ คนที่ท้องทะลุ ที่เป็นผู้บังคับกองพัน นายสิบ และยังมีพิการอีกหลายคน ซึ่งเขาบอกว่าเขาก็เห็น แต่พวกนั้นอยู่ข้างหลังประชาชน ซึ่งผมก็ไม่ได้โทษว่าเป็นพวกใคร ผมก็ถามว่าทำไมไม่ยิงสู้ ยิงไม่ได้เหรอ เขาก็บอกว่ายิงไม่ได้ เพราะถ้ายิงก็จะโดนประชาชนที่ขวางหน้าอยู่ ผมก็ถามว่า ผู้ที่อยู่ข้างหน้าเป็นใคร เขาก็บอกว่าเป็นประชาชนที่มาประท้วง มาเดินขบวนทั้งหมด เขาก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ซึ่งทำร้ายเขาไม่ได้ ผมฟังแล้วผมก็สะอึก นั่นคือ ลูกน้องผม และยังมีที่เจ็บและตาย ก็ว่ากันไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตนก็ไม่ได้โทษ เพราะฉะนั้น ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่โทษกันและว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่าชุดดำ หรือ ชุดไม่ดำ ถ้าพูดกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่น่าจะจบ อยากให้ลดกันไปสักข้างหนึ่ง ซึ่งตนก็ลดลงไปข้างหนึ่งแล้ว ซึ่งท่านต้องเห็นใจตน เพราะลูกน้องบาดเจ็บล้มตาย ลูกเมียเดือดร้อน เขาร้องมาให้กองทัพบกปกป้องเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของเขา ที่ไปหาว่าเขาไปยิงประชาชนซึ่งเขาไม่ได้ยิง เขาบอกกับตนอย่างนี้ ตนก็ไปสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และใช้กระบวนการยุติธรรมในการชี้แจง หากผิดก็ต้องรับผิด ถ้าหากไม่ผิดจะให้เขารับผิดมันก็ไม่ใช่ ตอนนี้เราไม่รู้ ก็ต้องไปหาให้เจอว่าพวกไหน ซึ่งตนไม่ได้โทษว่าเป็นพวกใคร แต่อีกข้างบอกว่าเป็นทหารทั้งนั้น อย่างนี้ถือว่าไม่เป็นธรรม ตนยังไม่ได้โทษใคร ยังไม่ได้บอกว่าชุดดำเป็นพวกใคร ก็อยากไปให้สอบกันมา เดี๋ยวคงจะเจอ คนเราย่อมรู้ตัวเองดีว่าใครทำอะไร อย่างไร ก็ไปหากัน มันโกหกกันไม่ได้ตลอดไปหรอก