xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์กลับคำสั่งศาลชั้นต้น ยกฟ้อง “บ.แมเนเจอร์” หมิ่นฯ “ดำรงค์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี “ดำรงค์ พิเดช” ยื่นฟ้อง บ.แมเนเจอร์ ลงโฆษณาหมิ่นฯ เทียบเคียงคดีหมายเลขดำที่ 5690/2549 ประกอบพยานหลักฐานโจกท์ไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่า บ.แมเนเจอร์ เป็นผู้กระทำความผิด เห็นควรพิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นยกฟ้อง บ.แมเนเจอร์

วันนี้ (9 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนายดำรงค์ พิเดช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1 และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาหมิ่นประมาท อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของประกอบกิจการพิมพ์ และจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวันแก่ประชาชนทั่วไป ใช้สมญานามทางการค้าว่า “ผู้จัดการรายวัน” โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์และโฆษณา

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันเขียนโฆษณาและอนุมัติให้ตีพิมพ์ข้อความลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันของจำเลยที่ 1 หน้าที่ 4 ด้วยข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อประชาชนทั่วไปว่า “โจทก์ร่วมกับข้าราชการกรมป่าไม้ อาศัยอำนาจหน้าที่ตัดไม้ทำลายป่าในโครงการพระราชดำริ โดยการออกโฉนดทับพื้นที่ปลูกป่าของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่สลองขายให้บริษัทนายทุนไปขออนุญาตตัดไม้ในพื้นที่สวนป่า แล้วโจทก์ขณะดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัดเชียงรายอนุมัติให้ตัดไม้ตามที่บริษัทนายทุนขอ เมื่อโจทก์เป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สั่งยุบกองอำนวยการร่วมกันป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพย์ยากรป่าไม้ และควบคุมไฟป่าทันที โดยสั่งย้ายข้าราชการระดับบริหารอย่างไม่เป็นธรรมนับร้อยคนเพื่อให้การสอบสวนคดีดังกล่าวยุติลง โจทก์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ข้ามหัวข้าราชการที่มีอาวุโสสูงกว่าเป็นจำนวนมาก”

การเสนอข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เหตุเกิดที่แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร และตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขตทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 326, 328, 332 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชนรายวัน และผู้จัดการรายวัน ขนาดครึ่งหน้า เฉพาะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้โฆษณาในหน้าที่ 4 เป็นระยะเวลา 3 วัน ติดต่อกัน โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา และขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ 5150/2550 ของศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาให้ประทับรับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และให้โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อพอได้ใจความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชนรายวัน และผู้จัดการรายวัน เป็นระยะเวลา 3 วัน ติดต่อกัน โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ยกฟ้องจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน มีจำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 ลงพิมพ์ข้อความกล่าวถึงโจกท์ตามเอกสารหมาย จ.5 วางจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาหรือไม่ เห็นว่า แม้ในการดำเนินธุรกิจ จำเลยที่ 1 จะต้องตรวจสอบหนังสือพิมพ์ของตนว่ามีเนื้อหาอย่างไร เพื่อมิให้เกิดการกระทำความผิดกฎหมาย และจำเลยที่ 1 เคยถูกโจทก์ฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยการลงข้อความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันลักษณะเดียวกับคดีนี้ ตามหมายเลขดำที่ 5690/2549 ของศาลชั้นต้น รวมทั้ง

นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ กรรมการจำเลยที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ ว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิตักเตือนกองบรรณาธิการได้ก็ตาม แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 โดยกรรมการคนใดเป็นผู้ใส่ความโจทก์ หรือมีส่วนในการลงพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ลำพังแต่เพียงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย

อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น






กำลังโหลดความคิดเห็น