เจ้ากรรมนายเวรยังไม่หมดภารกิจ ยังต้องไล่ตามเช็กบิล “ขบวนการฮุบที่วัด” กันอีกยาว สำหรับกรณีการซื้อขายที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เป็นมหากาพย์ลากยาวกินเวลามาเป็น 10ปี ที่ถึงแม้ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” จะเผ่นหนีปัญหาเพื่อรักษารัฐบาลด้วยการไขก๊อกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยไปแล้วก็ตาม
เพราะนอกจากปัญหาจะไม่เคลียร์ แต่กลับยิ่งสร้างปมปัญหาให้ขยายใหญ่ แถมกระทบชิ่งกันเป็นห่วงโซ่ระเกะระกะไปหมด โดยเฉพาะการที่พรรคประชาธิปัตย์งับไม่ปล่อย เดินหน้าต่อยอดด้วยการรวบรวบรายชื่อส.ส.จำนวน 50 คน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 เพื่อยื่นต่อประธานสภาฯให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพความเป็น ส.ส.ของ “ยงยุทธ”
เนื่องจากการที่อดีตเสนาบดีหัวขาวรายนี้ถูกไล่ออกจากราชการ และอาจจะไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ.2550 อาจส่งผลให้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี และ ส.ส.ได้เพราะการที่ยังดึงดันอยู่ในตำแหน่งผู้แทนต่อ ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 102 (6) และมาตรา 174 (4)
กรณีนี้ “ยงยุทธ” และ “เพื่อไทย” ทำได้แค่รอศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างเดียว ชนิดได้เสียวกันอีกเฮือกในช่วงที่อยู่ระหว่างลุ้นผล
ขณะที่ควันหลงอีกชุดที่ติดปลายนวมมาจากการลาออกของหัวหน้าพรรคสีแดง อย่างเรื่องศึกมาราธอนแย่งเก้าอี้อำมาตย์ ก็ยังเป็นอะไรที่ตลบอบอวลไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น “ตั๋วฮ่องกง - ตั๋วเจ๊ ด. - ตั๋วไทยคู่ฟ้า” ที่ช่วงนี้บรรดา “นักวิ่ง” ควบขาสองข้างโกยแนบเข้าหาชนิดหัวบันไดไม่แห้ง
ตามอารมณ์หวังจะออเซาะนายใหญ่ - นายหญิงให้พิศวาสตบเก้าอี้งามๆ ให้สักตัวเป็นศักดิ์เป็นศรีแก่ชาติตระกูล
โดยเฉพาะเก้าอี้ใหญ่ๆ ที่กินได้ทั้งเงินและอำนาจอย่าง “เบอร์ 1 คลองหลอด” ที่โผยังไม่นิ่ง เคาะไม่ลงว่าจะเอาใครคุมบังเหียน สืบเนื่องจากคุณสมบัติที่ต้องไว้ใจได้ ไม่ใช่เด็กดื้อ
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาเรื่องการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย ที่ดูท่าจะฉายเป็นซีรีส์ให้ชมกันอีกสักพักใหญ่ๆ ทั้งปมเรื่องคุณสมบัติ ส.ส.ของ “ยงยุทธ” ที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของขบวนการสีแดง และเรื่องรูปร่างหน้าตา “ครม.ปู 3” ที่กำลังเร่งทำคลอดกันอยู่
จุดนี้เจ้าตัวเองรู้ดีว่าตกอยู่ในสภาพ “คนไร้ค่า - อะไหล่ชำรุด” ที่จะไปอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดก็ไม่เหมาะ เก้าอี้ ส.ส.รองก้นก็รักษาไว้ไม่ได้ แถมยังจำต้อง “ไขก๊อก” จากหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่แสนจะหวงแหน ตามที่ “นายใหญ่” สั่งกดรีโมทตัดหางทิ้ง กลัวว่า “เวรกรรม” จะมาพัวพันถึงพรรค เลยเถิดให้ถูกยุบทิ้งอีกหน ลำบากต้องไปเทคโอเวอร์สร้างแบรนด์ใหม่ให้วุ่นวาย
ฝ่ายการเมืองว่าวุ่นแล้ว ในส่วนของข้าราชการประจำของกระทรวงคลองหลอดก็หนาวๆร้อนๆไม่แพ้กัน ทั้งพวกที่ยังนั่งทำงานกินภาษีอยู่ หรือกระทั่งพวกที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ที่อาจส่อแววถูก “ผีอัลไพน์” ตามหลอกหลอน ดูจากท่าทีของ “วิชา มหาคุณ” คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีอัลไพน์ ที่ให้สัมภาษณ์ได้อย่างหวาดเสียว หลังจากวันที่ “ยงยุทธ” สละเก้าอี้เสนาบดีไม่นาน
โดยระบุทำนองข่มนามเลยว่า แม้ “ยุทธหัวขาว” จะลาออก แต่คดีอัลไพน์ก็ยังจะต้องตามเฮี้ยนผู้ที่เกี่ยวข้องกันต่อ เพราะผู้ร้องไม่ได้ร้องเรียนแค่อดีต มท.1 รายนี้ในสมัยดำรงตำแหน่งรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยคนเดียว แต่ร้องปลัดกระทรวงมหาดไทยทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจาก “ยงยุทธ” ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
โทษฐานนั่งบื้อไม่ยอมเพิกถอนคำสั่งของอดีตรักษาการปลัดคนนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าผิดทนโท่
สืบเนื่องจากเมื่อปี 2545 ที่ประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดใหญ่ในขณะนั้นที่มี “ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์” เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นประธาน ได้มีมติออกมาว่า ที่ดินสนามกอล์ฟอันไพน์ของ “ยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา” เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการาม จึงถือว่าเป็น “ธรณีสงฆ์” จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้ เว้นเสียแต่จะออกเป็น “พระราชบัญญัติ”
ขณะเดียวกันคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดดังกล่าวก็ได้ส่งบันทึกดังกล่าวถึง “ยงยุทธ” รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ให้ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งของตัวเองที่ให้ยกเลิกคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินเพื่อให้บริษัทเอกชนเข้าไปทำสนามกอล์ฟในที่ดินผืนดังกล่าว
ทว่าหาได้สะกิดต่อมสำนึก “ยงยุทธ” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังทำหนังสือตอกกลับคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กระทรวงมหาดไทยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะเป็นการทำบันทึกมาโดยที่กระทรวงยังไม่ได้สอบถามหรือขอความเห็นไป แถมเหน็บกลับอีกดอกปิดท้ายว่า “กฤษฎีกา” ทำลัดขั้นตอน
เข้าทำนอง “ไม่ได้ถาม อย่าสะเออะ”
ดังนั้น เมื่อเรื่องเข้าอีหรอบนี้ อดีตปลัดกระทรวงคลองหลอดทั้งหลายที่นั่งเก้าอี้ต่อจาก “ยงยุทธ” ก็ต้องเตรียมตัวหาคำอธิบายกับ “ป.ป.ช.” ว่า ตาบอด ไม่ยอมเพิกถอนคำสั่งผิดกฎหมายเพราะอะไร?
ไล่เช็กชื่ออดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยที่รับ “มรดกบาป” ต่อท้าย “ยงยุทธ” ส่องแล้วเรียกว่า แต่ละรายเส้นสายแข็งโป๊ก และยังป้วนเปี้ยนอยู่ในเส้นทางการเมืองทั้งนั้น ไล่เรียงตั้งแต่ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” บุคคลที่มีชื่อโผล่ออกมาเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการปรับ ครม.ที่จะมาถึง ก็ยังนึกไม่ออกว่าหาก “สามีคุณระเบียบรัตน์” เข้าวินมานั่ง มท.1 สมใจ จะมีบุญได้นั่งแช่ในตำแหน่งนาน เพราะ “ชนัก” ยังติดคาหลังอยู่ สุดท้ายคงไม่พ้นอยู่ในสภาพเดียวกับ “ยงยุทธ” ในตอนนี้
ต่อจากนั้นเป็น “สุจริต ปัจฉิมนันท์ - พงศ์โพยม วาศภูติ - พีรพล ไตรทศาวิทย์ - วิชัย ศรีขวัญ - มานิต วัฒนเสน - วิเชียร ชวลิต” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ขณะนี้ถูกย้ายข้ามฟากให้ไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสุดท้าย “พระนาย สุวรรณรัฐ” ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปหมาดๆ
ตามสภาพการณ์ แต่ละรายมีสิทธิถูก ป.ป.ช.สอบถามได้ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ มีสิทธิถูก “ผีอัลไพน์” หลอนย้อนหลังเหมือนกับ “ยงยุทธ” ที่ถูกตามเอาคืนไปแล้ว
ที่น่าสนใจอีกจุดที่ต้องติดตามคือบทบาทของ “ปลัดป้ายแดง” อย่าง “วิบูลย์ สงวนพงศ์” ที่เพิ่งขึ้นแท่นเก้าอี้ปลัดกระทรวงคลองหลอดมาหยกๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะของเย็นที่พร้อมร้อนทุกเมื่ออย่าง “คดีอัลไพน์” ที่ถือเป็นของแถมวัดใจคนที่ถูกตกรางวัลด้วยเก้าอี้ตัวนี้ว่า จะเลือกแสดงบทเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อสนองพระเดชพระคุณเครือข่ายอำนาจที่บำเหน็จบำนาญลาภยศให้
แต่ข้อแม้ของทางเลือกนี้ก็คือ ต้องยืนอยู่บนความเสี่ยงหาก เพราะ “ป.ป.ช.” เกิดฟันย้อนหลังบรรดาอดีตปลัดคนอื่นๆ ที่อยู่ก่อนหน้า โอกาสที่ตัวเองจะรอดก็แทบจะเป็นศูนย์
กับอีกทางคือเลือกจะยกเลิก “คำสั่งมรณะ” ที่ “ยงยุทธ” กระทำคาเอาไว้มานมนาน ทว่า การเลือกเส้นทางนี้ โอกาสที่จะเหยียบตีนบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีอัลไพน์จนโมโหโกรธา และตะเพิดออกจากเก้าอี้ก็มีสูงแตะหลักร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน
ฉะนั้นการได้นั่งบนเก้าอี้ “ปลัดมท.1” ในช่วงเวลานี้ของ “วิบูลย์” ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ทุกขลาภ” ที่ไม่ได้งดงามเสมอไป ตรงกันข้ามอาจกลับมาทำร้ายในภายหลังได้ตลอดเวลา ไม่ต่างอะไรจาก “ดาบสองคม”
ขมวดปมมหากาพย์ที่ดินธรณีสงฆ์มาจนวันนี้ ยังเรียกได้ว่า “ผีอัลไพน์” เฮี้ยนสมชื่อจริงๆ