อธิบดีกรมชลฯ เผยแนวทางแก้น้ำท่วมสุโขทัยใช้หินสกัดน้ำ ทำแนวกว้างให้น้ำนิ่ง คาดอาจจำเป็นต้องทำ “ชีตไพล์” แนวผนังกั้นน้ำคอนกรีตแก้น้ำหลาก ชี้น้ำลดลงเพราะค้างจากสัปดาห์ที่แล้ว “ปลอดประสพ” ยันคำเดิมไม่มีที่ไหนท่วม มีแต่น้ำแฉะ ส่วนเรื่องชีตไพล์หากต้องใช้อาจกระทบบ้านเรือน 200 หลัง อ้างประสานแล้วชาวบ้านเต็มใจร่วมมือ
วันนี้ (12 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เป็นประธานประชุม กบอ.เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.สุโขทัย และจ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นเวลา 11.45 น. นายปลอดประสพ และนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมช.คมนาคม พร้อมด้วยนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ร่วมแถลงความคืบหน้า
โดยนายเลิศวิโรจน์กล่าวว่า ในพื้นที่ จ.สุโขทัยนั้น นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ลงพื้นที่เข้าไปประสานงานกับสำนักกรมชลประทานพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปรับปรุง ที่เบื้องต้นจากการหารือจะนำกล่องตาข่ายเหล็กบรรจุหินมาช่วยสกัดน้ำ โดยวิธีการคือทำแนวที่ต้องดำเนินการแก้ไขให้กว้างขึ้นและทำให้น้ำทั้งสองฝั่งด้านนอกและในกำแพงให้อยู่ในระดับเดียว เพื่อให้น้ำนิ่งที่จะทำให้แก้ไขได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แนวผนังกั้นน้ำคอนกรีต หรือชีตไพล์ ซึ่งขณะนี้วิศวกรที่ปรึกษาของกรมชลประทานที่เคยรับผิดชอบงานซ่อมประตูระบายน้ำบางโฉมศรี จ.สิงห์บุรี ได้เดินทางถึงพื้นที่แล้ว และมีการประสานบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญร่วมดูหน้างานด้วย ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้หากมีการหารือกันก่อน ทั้งนี้ปริมาณได้ลดลงเนื่องจากน้ำที่ไหลผ่าน จ.สุโขทัยในช่วงนี้เป็นฝนที่เกิดจากร่องมรสุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่าวันพรุ่งนี้จะแก้ไขสถานการณ์ในพื้นที่นี้ได้
นายปลอดประสพกล่าวว่า ขณะนี้ตรวจสอบไปที่พื้นที่อื่น เช่น จ.นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดเหมือนที่ จ.สุโขทัย แต่ยืนยันว่าขณะนี้เรื่องน้ำท่วมคันกั้นน้ำยังไม่มีซึ่งสถานการณ์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน ลำน้ำหลักของประเทศยังไม่มีที่ไหนที่ท่วม และยังไม่เคยปล่อยน้ำเข้าทุ่งไหน ส่วนที่ท่วมอยู่นั้นเป็นเพียงท่วมแฉะหรือท่วมไหลผ่านเนื่องจากฝนตก ส่วนเรื่องชีตไพล์ ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าต้องใช้หรือไม่ ถ้าหากจำเป็นต้องใช้อาจกระทบกับบ้านเรือนประชาชนพื้นที่ประมาณ 200 หลังคาเรือนที่ได้มีการประสานไปแล้ว โดยทางชาวบ้านได้เต็มใจที่จะร่วมมือ