13 มิถุนายน 2555 ป.ป.ช.มีมติ 6 ต่อ 3 ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่กับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีการซื้อขายที่ดินวัดธรรมมิการาม (สนามกอล์ฟอัลไพน์)
โดยระบุถึงพฤติการณ์กระทำผิดของนายยงยุทธเอาไว้ว่า เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 45 ได้ใช้อำนาจรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการรับรองการซื้อขายที่ดินวัดธรรมมิการาม กับบริษัทอัลไพน์ว่ามีความถูกต้องตามกฎหมาย ยืนยันว่าการได้มาของที่ดินดังกล่าวมีความถูกต้อง
ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่สามารถซื้อขายหรือโอนได้ จนกว่าจะมีการตราเป็นกฎหมายออกมา
ต่อมาวันที่ 11 เม.ย. 45 คณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า การกระทำดังกล่าวของนายยงยุทธ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะที่ดินธรณีสงฆ์ไม่สามารถซื้อขาย หรือโอนได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่า การกระทำนายยงยุทธผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีความผิดวินัยร้ายแรง ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
หลังจาก ป.ป.ช.มีมติมานานกว่าสองเดือน ป.ป.ช.เพิ่งส่งเรื่องให้ต้นสังกัด คือ กระทรวงมหาดไทยประมาณกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้พิจารณาโทษนายยงยุทธ ที่บังเอิญบุญพาวาสนาส่งได้ดิบได้ดีเป็นเจ้ากระทรวงคลองหลอด ให้ใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษตัวเองที่กระทำความผิดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2545
คงต้องบอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยเห็นที่ไหน นอกจากประเทศไทยเท่านั้น!
สถานการณ์ลักลั่นเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะได้ปฏิบัติตามคำแนะนำ ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาเสียก่อนที่จะเกิดปัญหาด้วยการพิจารณาการดำรงตำแหน่งของนายยงยุทธ ตั้งแต่ตอนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อระบบบริหารราชการแผ่นดิน อย่างที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ คือ
คนมีอำนาจพิจารณาโทษกลายเป็นคนที่ทำความผิด
ที่สำคัญคือ ตามกฎหมายก็ระบุชัดเจนว่า การพิจารณาโทษจะเปลี่ยนแปลงฐานความผิดไปจากที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลไปแล้วไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจึงมีอยู่เพียงสองทางคือ
ปลดออก หรือไล่ออก
แต่ไม่ว่าจะชี้โทษไปในทางใด รัฐธรรมนูญมาตรา 102(6) ก็ระบุชัดถึงคุณสมบัติต้องห้ามของ ส.ส. และรัฐมนตรีเอาไว้ว่า ต้องไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ ตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ให้มหาดไทยต้องพิจารณาโทษภายใน 30 วัน หลังได้รับเรื่องจาก ป.ป.ช. แต่จนถึงปัจจุบัน ยงยุทธ ยังอ้างมั่วว่าเป็นเรื่องของศาล ทั้งที่ไม่มีส่วนใดในขั้นตอนนี้ที่จะไปเกี่ยวข้องกับศาล โดยที่สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่สอบถามก็จับประเด็นไม่ได้ ตีปัญหาไม่แตกว่า ยงยุทธ กำลังบิดเบือนความจริงต่อสังคมเพราะการพิจารณาโทษครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรจากเครื่องประหารหัวสุนัขที่จะฟันฉับตัดเส้นทางการเมืองของยงยุทธจนต้องยุติลงกลางคันในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยได้อีกต่อไป
และยังต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. โดยหมดสิทธิ์ที่จะเผยอหน้าในตำแหน่งเหล่านี้อีกตลอดชั่วชีวิต จากผลกรรมที่ทำไว้ในปี 2545 เว้นแต่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดมาตรา 102 (6) ออกไป ซึ่งก็เป็นเรื่องของอนาคต
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน คือ มหาดไทยต้องชี้มูลความผิดยงยุทธภายในสองสัปดาห์นี้ และเมื่อชี้มูลแล้วจะไม่มีชื่อ ยงยุทธ เป็นรองนายกฯ รมว.มหาดไทย และ ส.ส.อีกต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องตีความกฎหมายใดๆ เลย เพราะรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำสูงสุด จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะนอกจากจะไม่สนใจหลักธรรมาภิบาลที่ดี ในการบริหาร จัดการเรื่องนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายโดยไม่ต้องให้ใครทวงถามด้วยการปลดนายยงยุทธออกจากตำแหน่งแล้ว ยังมอบหมายให้คนที่มีตำหนิจากการประพฤติทุจริตต่อหน้าที่ไปยืนเคียงข้างประดับบารมีวันที่เป็นประธาน “ประกาศแนวทางการดำเนินการระยะต่อไปของรัฐบาลในการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น”
ราวกับจะประกาศว่า ก้าวต่อไปของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน คือ การให้คนถูกชี้ทุจริตมีอำนาจต่อไปโดยไม่ต้องใยดีต่อสังคมและระบบคุณธรรม
นี่ใช่ไหมคือสัญญาณที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะบอกกับสังคม เพราะไม่เพียงแต่เลี้ยงคนอย่างยงยุทธไว้คู่กาย แต่รัฐบาลชุดนี้ยังมี รัฐมนตรีที่ถูกอัยการสั่งฟ้องในคดีทุจริตจากการส่งเสือไปจีนอย่างนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ เป็นคนคุมเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทอีกด้วย
เห็นภาพเช่นนี้คนไทยคงมีคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ยิ่งลักษณ์?ชินวัตร มีคุณธรรมมากพอที่จะบริหารประเทศหรือไม่ เพราะเพียงแค่สำนึกพื้นฐานที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คนอย่างยิ่งลักษณ์และรัฐบาลชุดนี้ยังไม่มี
ถ้าสังคมไทยก็ขาดสำนึกพื้นฐานที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามกฎหมาย บริหารด้วยหลักคุณธรรม ปล่อยให้เรื่องพิลึกพิลั่นอย่างกรณี ยงยุทธ ต้องเป็นผู้สั่งลงโทษยงยุทธเกิดขึ้น โดยไม่ไล่บี้ตั้งคำถามกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าจะยุติความลักลั่นนี้อย่างไรในฐานะเป็นผู้นำประเทศ
ก็เท่ากับว่าประเทศไทยอยู่ในสภาพที่ประตูนรกเปิดโดยที่คนไทยไม่รู้ตัว ทำให้มีทั้งปีศาจ ซาตาน เปรต สัมภเวสี มาใช้ชีวิตปะปนกับคน จนแยกไม่ออกระหว่างคนกับปีศาจ สมยอมที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไป จนแยกแยะเลว ชั่ว ผิด ถูก ไม่ได้
สภาพการณ์เช่นนี้กำลังส่งสัญญาณเตือนคนไทยว่าชาติเราใกล้ถึงคราวล่มสลายแล้วอย่างแท้จริง เพราะกฎหมายกำลังจะบังคับใช้ไม่ได้ คนมีอำนาจไร้ซึ่งยางอาย ส่วนประชาชนก็เพิกเฉยต่อการไร้คุณธรรมของผู้บริหารประเทศ
สุดท้ายเรากำลังจะกลายผีดิบกันทั้งเมือง เพราะใช้ชีวิตร่วมกับปีศาจ ซาตาน เปรต สัมภเวสี จนถูกกลืนกินความเป็นคนไปเสียแล้ว