รายงานการเมือง
แม้จะมีคำทำนายจากสื่อต่างชาติ อย่างวอลล์สตรีทเจอร์นัล ระบุว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง หมดอนาคตทางการเมืองและไม่มีทางอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังได้อีกต่อไป เนื่องจากออกมายอมรับว่า โกหกตัวเลขเป้าส่งออก 15%
ในสายตาของวอลล์สตรีทเจอร์นัลคิดว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อประเทศไทยอย่างรุนแรง เพราะคนระดับรองนายกฯคุมเศรษฐกิจกลับพูดโกหกเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจ จึงฟันธงว่ากิตติรัตน์ส่งพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีมาตรฐานในระดับสากล ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่ วอลสตรีทเจอร์นัล ได้วิเคราะห์เอาไว้ แต่นี่เป็น “ครม.ปูแดง” ไร้ซึ่งมาตรฐาน ไม่มีแม้แต่คุณธรรม ไม่รู้จักกระทั่งสามัญสำนึก คำทำนายของวอลล์สตรีทเจอร์นัลจึงไม่น่าจะแม่นยำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ กิตติรัตน์ นับเป็นขาใหญ่อยู่ใน ครม. เป็นที่รับรู้กันว่าอยู่ในแก๊ง ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ที่ร่วมโกหกสีขาวช่วยให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลบเรื่องฉาวส่งกลิ่นคาวคุ้งที่โฟร์ซีซั่นส์ จนขนาดผู้ตรวจการแผ่นดินก็ยังเชื่อว่า กิตติรัตน์ ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ว.5 ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับบิ๊กบอสแห่งแสนสิริ
ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินหลับตาข้างหนึ่งสอบ ไม่ยอมลงลึกให้ชัดเจนว่าสิ่งที่กิตติรัตน์ชี้แจงว่าอยู่ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์นั้น ได้อยู่ร่วมหอลงโรงกับบุคคลทั้งสองเพื่อปรึกษาหารือข้อราชการระหว่างนักธุรกิจกับผู้นำประเทศและรองนายกรัฐมนตรีคุมเศรษฐกิจของชาติจริง หรือว่าบังเอิญอยู่ที่โรงแรมแห่งนั้นเพราะไปเปิดงาน โดยไม่ได้ขึ้นลิฟต์ไปที่สวรรค์ชั้น 7 แต่อย่างใด
คำชี้แจงของกิตติรัตน์ จะเป็นการโกหกสีขาว เพื่อให้ใครพ้นผิดหรือไม่ คิดว่าวิญญูชนที่ไม่ถูกสนตะพายย่อมคิดออกว่าความจริงเป็นอย่างไร เนื่องจากการชี้แจงต่อสาธารณชนของรัฐบาลไล่ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรี ไปจนถึง เป็ดเหลิม อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ดูถูกยิ่งลักษณ์เสียเองว่า
“การไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ของนายกรัฐมนตรีไมใช่เรื่องน่าตื่นเต้น เพราะไม่ใช่โรงแรมม่านรูด”
เป็นการชี้นำให้คนเข้าใจไปถึงเรื่องบัดสีในทันที และที่แน่ๆ หากจะทำบัดสีบังเถลิงเป็นผลประโยชน์ทับท้องไม่ใช่ทับซ้อนย่อมแสดงให้เห็นถึงความไร้ศีลธรรมที่คนประเภทนี้สามารถมีพฤติกรรมต่ำช้าผิดผัวผิดเมียคนอื่นได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นม่านรูดหรือโรงแรมหรูหกดาว
อย่างไรก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ผ่านพ้นวิบากกรรม ว.5 โฟร์ซีซั่นส์มาได้ในแง่การตรวจสอบจากผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่จะใสสะอาดในสายตาประชาชนทั่วไปหรือไม่นั้น คิดว่าคนมีสติย่อมมีคำตอบในใจ
การอยู่รอดปลอดภัยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันนั้นก็มิได้แตกต่างจากความมั่นคงในตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.คลังของ กิตติรัตน์ ในวันนี้
เพราะถ้าการโกหกสีขาวเรื่องเป้าส่งออกโต 15% เป็นความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ย่อมขว้างงูไม่พ้นคอด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นคนลั่นวาจากลางที่ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลักดันเป้่าส่งออกให้โต 15% โดยพูดตามสคริปต์เสียงดังฟังชัดในวันที่ 30 มิ.ย. 55 ว่า “เราจะปรับวิธีการแต่ไม่ปรับเป้าหมาย มั่นใจว่าจะทำให้การส่งออกโต 15% ได้”
จากข้อมูลข้างต้นน่าจะทำให้ถึงบางอ้อได้ว่า ทำไมหลังเกิดเหตุพอตั้งตัวติด คนในพรรคเพื่อไทยไม่เว้นนพเหล่ ถึงออกมากะเตงอุ้มกิตติรัตน์กันพัลวัน ก็อย่างที่บอกถ้า กิตติรัตน์โกหกแล้วผิด ยิ่งลักษณ์ก็ผิดที่โกหกไม่ต่างกัน
แม้ว่ารัฐบาลจะควบคุมสื่อบางสำนักและสื่อทีวีหลักไว้ได้ แต่ความจริงกำลังจะเปลือยรัฐบาลอย่างล่อนจ้อนว่าไร้ฝีมือ ประเมินพลาด ทำชาติเสียหาย เพราะขนาด กิตติรัตน์ หั่นเป้าส่งออกเหลือ 9% แต่ก็ดูเหมือนว่าตัวเลขนี้น่าจะเป็นการโกหกสีขาวซ้ำสอง
เพราะก่อนหน้าที่กิตติรัตน์จะระบุตัวเลข 9% นั้น แบงก์ชาติเคยประเมินตัวเลขการส่งออกว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติบอกกับสาธารณะตั้งแต่วันที่กิตติรัตน์ตะโกนบอกสังคมว่าการขยายตัวจากการส่งออกทั้งปี 2555 จะโต 15%
ล่าสุด วันที่ 30 ส.ค. 55 นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาเปิดเผยว่า การส่งออกของไทยทั้งปีจะขยายตัวได้ 5-6% เป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่ กิตติรัตน์ ซึ่งเป็น รมว.คลัง ประเมิน 3-4%
แล้วคนไทยควรเชื่อใครระหว่างข้าราชการกระทรวงการคลัง กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สิ่งที่คนไทยควรจะคิดให้หนัก คือ กิตติรัตน์ คนเดียวกันนี้เคยยืนยันมาโดยตลอดว่า ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทไม่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ชัดเจนว่าในขณะที่มีเพียง 7 จังหวัดที่ได้ค่าแรงสามร้อย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจนประชาชนแบกภาระกันหลังแอ่น โรงงานจำนวนมากต้องปิดตัวลงเพราะแบกรับภาระไม่ได้ ยอดคนวางงานพุ่งถึง 3.3 แสนคน
สิ่งที่เกิดขึ้นต้องบอกว่าเพิ่งจะเป็นน้ำจิ้ม แต่ปีหน้าคือนรกของจริงที่คนไทยจะต้องเผชิญ เพราะค่าแรงขั้นต่ำ 300 จะมีผลบังคับใช้ทั่วทั้งประเทศ ในขณะที่ผู้ประกอบการยังไร้ความพร้อมที่จะรองรับกับต้นทุนที่สูงขึ้น
จึงเชื่อได้เลยว่า ในปีหน้าจะมีโรงงานปิดตัวลงอีกจำนวนมาก ส่งผลให้แรงงานต้องตกงานมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งอยู่ในสภาวะ “เงินฝืด” ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่มีเงินมาใช้จ่าย
ในขณะที่รัฐบาลยังไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กลับกำหนดนโยบายที่จะทำให้เกิดปัญหาค่าครองชีพสูงกว่าเดิมจากที่แพงทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว ด้วยการลอยตัวพลังงานทุกชนิด โดยเฉพาะแก๊สหุงต้มที่จะขึ้นราคาในปี 2556 ส่งผลให้ค่าแก๊สถังละ 15 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นประมาณ 178 บาทต่อถัง
เมื่อราคาแก๊สสูงขึ้น ย่อมหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งประชาชนเดินดินกินข้าวแกงคือคนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ในขณะที่รายได้หายาก รายจ่ายสูงขึ้นเพราะสินค้าราคาแพง
จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคซวยซ้ำซวยซ้อน คือ เจอทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืดควบคู่กันไป
วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 มนุษย์เงินเดือนตกงานยังกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ ทำมาหากินบนแผ่นดินของตัวเอง แต่วิกฤต “ยุคปูแดง” ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นการล้มทั้งเศรษฐกิจของภาครัฐไล่เป็นลูกระนาดไปถึงเศรษฐกิจรากหญ้า จากนโยบายประชานิยมสร้างหนี้ท่วมประเทศ สร้างหนี้ท่วมครัวเรือน
แล้ว 15 ล้านเสียงจะได้รู้ว่า “นรกมีจริงในยุคปูแดง” ที่พวกท่านภูมิใจเลือกกันมานี่แหละ ถึงเวลานั้นจะได้ตาสว่างทั้งแผ่นดินจริงๆ เสียที!