ผู้บัญชาการทหารบก รับ “ในหลวง-พระราชินี” ทรงห่วงไฟใต้ วอนอย่ากระพือสถานการณ์หวั่นวุ่นเพิ่ม ชี้ 3 สิ่งมีผลต่อการแก้ปัญหา เผยรัฐตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ หวังบูรณาการให้สอดคล้องกัน ปัดประกาศเคอร์ฟิว แต่เป็นแค่มาตรการหนึ่งที่ลดความสูญเสีย บอกถ้าจำกัดเส้นทางไม่ได้ก็แยกโจรลำบาก เน้นติดวงจรปิดจุดไร้เจ้าหน้าที่ ยันคาร์บอมบ์ถูกเตือนทุกอาทิตย์ เชื่อพวกก่อการหวังให้โลกรู้ แนะร่วมประณาม อย่าตำหนิ จนท.
วันนี้ (5 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางร่วมงานวันสถาปนาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ครบรอบ 125 ปี ถึงกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยสถานการณ์ไฟใต้ว่า พระองค์ท่านทรงเป็นห่วงมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มเสด็จลงพื้นที่ภาคใต้ 20-30 ปีมาแล้ว ถึงวันนี้ทั้งสองพระองค์ก็ทรงดูแลปัญหาอยู่ ในปัจจุบันสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานทุนทรัพย์ และพระราชทานรายได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จฯ ลงในพื้นที่ภาคใต้ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ยังคงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้แก่ประชาชนใต้หมู่เหล่า และคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยพุทธ หรือคนไทยมุสลิม พระองค์ท่านไม่เคยแบ่งแยก พระองค์ท่านทรงพระราชทานตลอด ทั้งคนไทยพุทธ และคนไทยมุสลิมอยู่ด้วยกันทั้งสองสัญชาติมาโดยตลอดไม่มีปัญหา แต่มีเพียงคนไม่ดีที่มาทำให้เกิดปัญหารุนแรงเท่านั้น ซึ่งคนในพื้นที่และคนไทยทั้งประเทศก็ทราบเรื่องนี้ดี ทั้งนี้ข้อมูลทุกอย่างกองทัพทราบดี
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ไม่อยากให้กระพือสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เพราะจะเกิดความวุ่นวาย หรือเกิดความสับสนในการสร้างความเข้าใจกับคนทั้งประเทศ สิ่งที่ตนบอกว่าจะมีผลต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่นั้นมีอยู่ 3 อย่าง คือ เจ้าหน้าที่ดีหรือไม่ดี มีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือกำลังพลพร้อมปฏิบัติงานหรือไม่ กฎหมายพอเพียงหรือยัง จะทำให้คนเดือดร้อนหรือเปล่า และประชาชนที่มีหลายส่วนด้วยกัน ดังนั้นจะต้องมองปัญหาเดียวกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง และวิธีการแก้ไขปัญหาจะต้องสอดคล้องกัน หากไปแยกทำอิสระก็ไม่จบ
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ 8 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง และการพัฒนา ซึ่งผู้ปฏิบัติหลักคือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ซึ่งเป็นองค์กรพิเศษที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนงานทั้งสองส่วน การแก้ไขปัญหาประกอบด้วยงานพัฒนาและความมั่นคง จะต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และยังมีอีกหลายประการที่จะต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแผนโครงการและงบประมาณเพื่อให้ตรงกับห้วงเวลาและความต้องการของประชาชน
“ส่วนศูนย์ปฏิบัติการของรัฐบาลนั้นเดิมมีการจัดตั้งอยู่แล้ว เพราะกฎหมายได้แยกไว้ 2 ส่วน คือ ของ กอ.รมน. ซึ่งจะเป็นงานด้านความมั่นคง พลเรือน ตำรวจ และทหาร ที่รับผิดชอบหลัก ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ งานพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งสองส่วนจำเป็นจะต้องบูรณาการขึ้นมาให้สอดคล้องกับรัฐบาลที่มีจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาในลักษณะควบคุมการบังคับบัญชาสั่งการ จะมีนายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง ส่วนอีกส่วนหนึ่งจะต้องสำรวจแผนงานโครงการที่แต่ละกระทรวงมีงบประมาณอยู่ว่าได้ทำอะไรไปบ้างเพื่อให้การขับเคลื่อน ดังนั้น ศูนย์นี้จะสวมกันอยู่ คือ ศูนย์ที่ดูแลแผนงานโครงการและครอบคลุมในการสั่งการ หากมีการประชุมศูนย์นี้ทั้งหมดจะใช้เวลามาก เพราะจะต้องมาคลี่แผนงานทุกกระทรวงออกมา แต่ศูนย์ปฏิบัติที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือการเอาคนเหล่านี้แต่ลดให้มันเล็กและขับเคลื่อนได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้จำเป็นจะต้องประกาศเคอร์ฟิวหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลพูดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่ได้บอกว่าจะประกาศเคอร์ฟิวส์ เพียงแต่บอกว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่จะทำให้ลดการสูญเสียได้ เพราะสามารถแยกผู้ร้ายออกจากโจร และในเวลาไม่สมควรที่จะใช้เส้นทางก็จะได้ลดเป้าหมายความเสี่ยงลงไป เจ้าหน้าที่จะได้ปฏิบัติการทางทหารได้เต็มที่ ในช่วงที่ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา แต่ขณะนี้ทุกฝ่ายยังไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ อยากเรียนว่าถ้าตราบใดยังคุมเส้นทางไม่ได้ทั้งหมดที่มีเป็น 100 เส้นทาง ก็จำกัดเสรีฝ่ายตรงข้ามได้ยาก แยกผู้ร้าย โจร ได้ลำบาก มันก็จะเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ถ้าตั้งด่านตรวจเต็มพื้นที่ต้องใช้กำลังพลประมาณ 2 หมื่นนาย และยังไม่รวมในเขตพื้นที่เมือง สรุปว่าเอาทหารไปตั้งด่านอย่างเดียวก็หมดแล้ว ดังนั้นจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเอากำลังพลมาตั้งด่านกำลังพลที่จะปฏิบัติการเชิงรุก หรือกำลังพลที่จะไปปฏิบัติงานเชิงรับ ดูแลสถานที่ต่างๆ ก็จะต้องลดลง เพราะจะต้องทำทุกอย่าง ไม่ใช่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะสำเร็จ ดังนั้นเราจะเลือกพื้นที่และกำหนดจุดให้เหมาะสม แต่พื้นที่ไหนไม่มีเจ้าหน้าที่ ก็มีการขอให้ติดตั้งกล้องวจรปิดแต่ขณะนี้ก็ยังไม่ครบ ซึ่งเราจะต้องปรับไปเรื่อยๆ ประเด็นสำคัญคือความเสี่ยงทั้งสถานที่ บุคคล เส้นทาง ยังมีอีกจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่เน้นในการความปลอดภัยชีวิต และทรัพย์สินเป็นหลัก
เมื่อถามว่าหน่วยข่าวแจ้งเตือนว่ากลุ่มก่อความไม่สงบเตรียมคาร์บอมบ์แหล่งเศรษฐกิจในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีการเตือนทุกเดือนทุกอาทิตย์ เป็นข่าวสาร และผลิตเป็นข่าวกรองได้บางข่าว มีการจับยึดอะไร ไปดำเนินคดี เพียงขณะนี้ได้ข่าวว่ารถที่หายไปจำนวนเท่านี้และยังหาไม่เจอ และเจอแล้วก็ไปสอบสวน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องการทำงาน สิ่งที่ปรากฎอยู่ฝ่ายตรงข้ามเขาต้องการให้โลกและคนทั้งประเทศสนใจ แต่เราควรสนใจในลักษณะที่ว่าคนพวกนี้มันแย่ และต้องประณาม คนจะได้ไม่ไปร่วมไม่ไปสนับสนุน และทุกหน่วยงานต้องไปขับเคลื่อน ทหารก็มีแค่ 2 มือ มีหัว มีความคิด แต่ทุกคนมีอำนาจอย่างเดียวคือความมั่นคง งานพัฒนาไปสั่งใครก็ไม่ได้ การนำข่าวมาใช้ประโยชน์ที่ผ่านมาก็ใช้ประโยชน์ได้เยอะ แต่ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ การแก้ไขปัญหาภาคใต้จะต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน ไม่อยากไปโทษว่าเป็นความผิดของใคร อย่าเพิ่งตำหนิกันเพราะเหตุการณ์ยังไม่จบ