รายงานการเมือง
แทบไม่ต้องรอคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตัวจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ให้ลุ้นกันตาค้างว่าสุดท้ายแล้ว “รัฐสภาฝักถั่ว” กับ “ทักษิณส่วนหน้า” จะควบพาประเทศชาติไปทิศทางไหน
เพราะแค่จับสัญญาณ “เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่นำสาส์นตรงจาก “ฮ่องกง” หลังจากลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินไปแฮปปี้เบิร์ธเดย์ “ทู แม้ว” ด้วยตัวเองมาโพนทะนาบอกต่อ ก็น่าจะสะบัดธงฟันฉับไปเลยว่า จังหวะนี้ “ทักษิณ” เคาะโต๊ะเลือกแล้ว เอาแก้รัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา
เน้นปลอดภัยไว้ก่อน
ตามฟอร์มส่งซิก “เฒ่าเหนาะ” ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของ “นักโทษหนีคดี” มาเกือบคำต่อคำ ขมวดปมเน้นๆ ได้หนึ่งภาพใหญ่ “นายห้าง” ไม่ยอมถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกจากรัฐสภา แต่ให้ปล่อยคาแช่แห้งเอาไว้ในวาระ 3 อยู่อย่างนั้น
เล่นบทยียวนฝั่งตรงข้าม ไม่ดันทุรังยกมือโหวตวาระ 3 ให้เสี่ยงยุบพรรค
และก็ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าทำประชามติในขณะที่ มาตรา 165 (2) ยังเขียนเป็นประตูปิดตายเอาไว้ว่า ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
เลือกเล่นบทครึ่งๆกลางๆ อุดรอยรั่วให้มีช่องโดนสอยน้อยที่สุด แล้วแก้ไขเป็นรายมาตรา ตามที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ชี้โพรงเอาไว้ โดยแปรขบวนทัพกันใหม่ อาศัยพรรคร่วมรัฐบาลเล่นเกม “ฮั้วเสนอกฎหมาย” แบ่งกันตีแบ่งกันยื่น จะคนละกี่มาตราก็แล้วแต่จะตกลงสมยอมกันได้ จากนั้นไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ ไม่เสร็จในรัฐบาลชุดนี้ เลือกตั้งหน้าชนะก็มาแก้กันต่อ
“เพื่อไทย” พองขนเย้ยหยัน “ประชาธิปัตย์” เบรกได้ก็เบรกไป
ส่วนจะเป็นมาตราไหนที่ “สมุนบ่าวนายห้าง” เขม็งเกลียวจะกระทำชำเรา เชื่อขนมกินไปเลย “องค์กรอิสระ” หอกข้างแคร่ของ “นช.แม้ว” นั่นแหละเป้าหมายแรก
ตามจังหวะ “ไหลตามน้ำ” ของ “ปริญญาเอกด้านกฎหมาย” อย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี หนึ่งในบุคคลที่ตีตั๋วไปฮ่องกงมาแล้ว ออกมาง้างเท้ารับลูกแบบหน้าชื่นตาบานกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นหัวหมู่ชูธงแนวทางนี้มาตั้งแต่ “ศุกร์ 13” นู่น
“นักเลงฝั่งธน” ถึงกับยิ้มแก้มไม่หุบ ก็นานๆที “นายใหญ่” จะชายตามาสนคว้าข้อเสนอของตัวเอง หลังจากนั่งทำหน้าเป็น “สายบัวรอเก้อ” ถูกหมางเมินไอเดียมาไม่รู้ต่อกี่หน ที่เจ็บหนักๆ ก็ “ร่างพ.ร.บ.ปรองดอง” ที่ถูกมองข้ามไปเลือกเชื่อมือทีมยุทธศาสตร์ของพรรคมาจนล้มครืนมาไม่รู้จักกี่ตลบแล้ว
ได้ทีก็เลยต้อง “ขี่แพะไล่” เกทับพวกเดียวกันบ้าง แถมปล่อยของออกมาแบบเจาะจงให้โดนใจ “คนดูไบ” ไปเลย
เป้าหลักๆที่ “กุมารทองคะนองศึก” เปิดฉากตัดไม้ข่มนามกันแต่หัววัน ขู่ฟ่อจะโละล้างกันให้สิ้นซากก็หนีไม่พ้นอำนาจฝ่ายตุลาการอย่าง “องค์กรอิสระ” โดยเฉพาะ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ที่โดนยาแรงกว่าองค์กรอื่น ถึงขั้นจะตัดรากถอนโคนให้หายสาบสูญจากสารบบการเมืองไปแบบชั่วกัปชั่วกัลป์
เหยื่อถัดมาก็คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ “หัวหมู่เฉลิม” เล็งจะลดทอนอำนาจ และเปลี่ยนบทบาทให้เหลือแค่เป็นนักบริการจัดการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องการแจกใบเหลือง ใบแดง จับโยนไปให้ทางศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นกรรมการชี้ขาดในสนามทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ก็จะไปแก้ปมที่เป็นดัง “แม่พันธุ์” ในการผลิตบุคคลที่มาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระอย่าง “ส.ว.” ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด พอกลายสภาพเป็น “สภาผัว - สภาเมีย” ได้เรียบร้อยโรงเรียนแม้วสมใจยากแล้ว จากนั้นทั้ง “5 เสือ กกต.” และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็เลือกกันได้ตามใบสั่งฝ่ายบริหาร
ขณะที่บรรดาศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง “ด็อกเตอร์เหลิม” เขียนไว้เสร็จสะเด็ดน้ำ จับยุบรวมไปเป็นแผนกของศาลฎีกาให้หมด ชนิดปลดล็อกปลดเปลื้องไม่เหลือระบบ “ศาลคู่” อีกแล้ว
แทบไม่ต้องพูดถึง มาตรา 237 ว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองและการตัดสิทธิทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรค มาตรา 309 ที่รับรองการกระทำของคณะรัฐประหารให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตลอดจน มาตรา 68 ที่พลพรรคเพื่อไทยระหองระแหงในช่วงที่ผ่านมา แม้จะไม่มีการเอ่ยออกมาจากปาก “กูรูเฉลิม” ว่าจะแก้ไข แต่หากมีการแก้เรื่องอำนาจองค์กรอิสระข้างต้น มาตราเหล่านี้จะถูกผลพวงให้ต้องมีการสังคายนากันใหม่เกือบยกเซตแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแต่ละมาตรามีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
ก็กะจะล่อกันให้พังไปข้าง แล้วย้อนเวลากลับสู่วังวน “ระบอบทักษิณ” ครองเมืองเหมือนเดิมกันอีกรอบนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม ดูอาการ “เป็ดเหลิม” โชว์ลูกมั่น ปล่อยของกันเอี๊ยดอ๊าดภายหลังจากบินกลับจากเกาะฮ่องกงเพียงไม่กี่วัน ทั้งๆที่พฤติการณ์ก่อนหน้านี้ยังออกลูก “ป๊อดตัวพ่อ” ความเลวไม่มี ความดีไม่ปรากฎ จะบู๊จะบุ๋นก็ต้องระแวดระวัง “นายใหญ่ - นายหญิง” จะเอาไดร์เป่าผมพ่นใส่หน้าเข้าให้
แต่รอบนี้แอ่นอกทำตัวโต ตามสัญญาณ “เหลิมได้น้ำ” น่าจะได้รับ “ฉันทานุมัติ” จาก “คนแดนไกล” เข้าให้แล้ว เลยออกแนวบู๊ล้างผลาญเดินหน้าชนแหลกกันแบบเอิกเกริก
ยิ่งการปิดท้ายด้วยอีหรอบแบไต๋ป่าวประกาศว่าจะชงทางเลือกนี้เข้าที่ประชุมพรรคกันออกสื่อ ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมา “เหลิม” กับ “ทีมยุทธศาสตร์พรรคสีแดง” แทบไม่ต่างจากเส้นขนาน ที่มักมีความคิดสวนทางและกระทบกระทั่งกันมาตลอด มันก็ยิ่งตอกย้ำได้ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า หนนี้ “สัญญาณฮ่องกง” กำลังเข้าข้าง “พ่อน้องดวง” เข้าแล้ว
ตามจังหวะ มันก็เลยอวดเบ่ง อวดภูมิกันหน่อยว่า “เหลิม” น่ะ “ปึ้ก”
เข้าทำนอง หัวส่ายมาแล้ว หางอย่างข้าก็เลยต้องกระดิกโชว์พวกเอ็ง