ผ่าประเด็นร้อน
ต้องเรียกว่าบังเอิญมาได้จังหวะเวลาพอดีจริงๆ กับข่าวต่างประเทศที่ระบุว่าผู้นำเกาหลีใต้ ประธานาธิบดีลี เมียงบัค ได้โค้งศีรษะขอโทษประชาชนทั่วประเทศอย่างสุดซึ้งเมื่อวันก่อน หลังจากที่พี่ชายของเขาและคนใกล้ชิด “ถูกดำเนินคดี” ในข้อหาทุจริต
ต้องย้ำว่าแค่เพียงถูกดำเนินคดีเท่านั้น ยังไม่ได้มีคำพิพากษาคดีจนถึงที่สุด ผู้นำเกาหลีใต้ที่เป็นนักการเมืองได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนก็ยอมออกมาขอโทษต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
กลายเป็นว่าข่าวดังกล่าวได้ทำให้สังคมออนไลน์ได้ส่งต่อๆ กันแพร่กระจายอย่างกว้างขวางกลายเป็นข่าวยอดนิยมมีการวิพากษ์วิจารณ์เปรียบเทียบกับวงการเมืองไทย และเชื่อมโยงไปถึงครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร อย่างช่วยไม่ได้
หากจะว่าไปแล้วกรณีการเมืองของเกาหลีใต้ถือว่าเป็นกรณีศึกษาเป็นอย่างยิ่ง และหากจะพิจารณากันตามข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่อดีตผู้นำคือ เฉิน สุ่ยเปียน ถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริต นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้วอัตราการคดโกงของนักการเมือง และข้าราชการนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก แต่ที่ “ต่างกันสุดขั้ว” ราวฟ้ากับเหวก็คือที่นั่น “โกงแล้วถูกดำเนินคดีทุกราย” ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน ในเกาหลีใต้มีอดีตประธานาธิบดีถูกตัดสินประหารชีวิตมาแล้ว เช่น ชุน ดู ฮวาน หรือไม่นานมานี้มีอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งทนความอับอายไม่ไหวหลังจากรู้ว่ากำลังจะถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตระหว่างที่อยู่ในตำแหน่ง ก็ตัดสินใจกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายเพื่อหนีความอับอาย
ขณะที่ประเทศไทยละ “รวยแล้วไม่ผิด” หรือ “มีอำนาจแล้วไม่ติดคุก” กรณีของทักษิณ ชินวัตร มันเกิดอะไรขึ้น ขนาดศาลพิจารณาสั่งจำคุกในคดีทุจริต มีคดีสั่งฟ้องค้างคาอยู่ในศาลจำนวนมาก ทั้งคนที่ถูกลงโทษเพราะกระทำผิด มีหลักฐานชัดเจน เพราะมีการเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จ้างทนายความราคาแพง และถึงขนาดเหิมเกริมคิดจะติดสินบนศาล แต่กระทำไม่สำเร็จถูกสั่งจำคุก ถูกออกหมายจับ แต่ก็หลบหนี ไม่เคยยอมรับ อ้างหน้าตาเฉยว่าถูกกลั่นแกล้ง ศาลไม่ยุติธรรม สารพัด แล้วก็ปลุกระดมมวลชนให้สร้างความปั่นป่วนในบ้านเมือง เพื่อต่อรอง หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เสนอกฎหมายลบล้างความผิดให้ตัวเอง แบบไม่ยอมเลิกรา
ขณะเดียวกัน เราไม่เคยเห็นผู้นำของไทย ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงออกในลักษณะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม กลายเป็นถูกมองว่าตัวเองที่เป็นน้องสาวของนักโทษหลบหนีคดีทุจริต กำลังเข้ามาใช้อำนาจรัฐทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของตัวเองให้พ้นผิด เพราะสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวทั้งก่อนหน้านี้มาจนถึงปัจจุบันและต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนกว่าประสบความสำเร็จ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเสนอร่างพระราชบัญญัติลบล้างความผิดที่ใช้ชื่อตบตาว่า กฎหมายปรองดอง
ดังนั้น อย่าว่าแต่ลุกขึ้นมาขอโทษเลย เอาเพียงแค่เป็นตัวของตัวเอง ทำหน้าที่เพื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเรื่องยากเลย เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาล้วนมองได้อย่างนั้นจริงๆ
ล่าสุด เกิดเรื่องน่าอัปยศอดสูขึ้นมาอีก เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานรักษากฎหมาย เป็นตำรวจกลับยอมรับว่าได้เดินทางไปอวยพรวันเกิด ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนักโทษหลบหนีคดี มีหมายจับติดตัว นี่มันเกิดอะไรขึ้น
แม้ว่านักกฎหมายจะอ้างว่าไม่เข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เพราะอยู่นอกเหนือพื้นที่ความรับผิดชอบอยู่ต่างประเทศ และเป็นเครือญาติกันสามารถพูดจากันได้ แต่ถามว่าในเรื่องจริยธรรม ความเหมาะสม ในฐานะเป็นตำรวจผู้รักษากฎหมาย กับนักโทษหนีคดีจะตอบอย่างไร อีกทั้งตัวเองก็กล่าวยอมรับหน้าตาเฉย แต่ก็นั่นแหละมันไม่ได้ต่างจากพวก ส.ส.พรรคเพื่อไทย รัฐมนตรี ที่พาเหรดไปพบ ไปก้มกราบ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งน่าเศร้านัก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ แล้วมาเปรียบเทียบกับการเมืองไทยผู้นำของไทย แล้วช่างรู้สึกสลดหดหู ว่าทำไมมันช่างด้อยพัฒนาล้าหลังได้ถึงเพียงนี้ ขณะเดียวกันก็อย่าหวังที่จะให้นักการเมืองพวกนี้เปลี่ยนแปลงในทางบวก หรือสำนึกผิด มีทางเดียวเท่านั้นก็คือหาทางกำจัดทิ้งสถานเดียว!!