สะเก็ดไฟ
ยังมีท่าทีเห็นต่าง ส่อเค้าลุกลามเป็นความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย สำหรับการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมาแบบกั๊กๆ ไม่ขัดแต่ไม่ควรทำในบางอย่าง โดยเฉพาะการแก้ทั้งฉบับ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมองว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังทำอยู่
มันก็เลยยักแย่ยักยันกันอย่างที่เห็น สายฮาร์ดคอร์ในพรรคเพื่อไทย ตลอดจนกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง จ้องยุให้เดินหน้าแก้ไขต่อไปด้วยการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ซึ่งยังค้างเติ่งในสภา ให้มันรู้แล้วรู้รอด
โดยแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนก็ให้ความเห็นน่าสนใจว่าในเมื่อวาระ 1 วาระ 2 ผ่านมาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมาแล้วว่าไม่เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง แล้วจะไปกลัวอะไรหากจะเดินหน้าลุยกันต่อไป...
กลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ดึงดันแข็งขืน แสดงจุดยืนเอาเท่ อ้างเพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยของประชาชนเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะรีบช่วยเหลือใครบางคนที่อยู่แดนไกลหรือเปล่า จะเป็นการพยายามเอาใจนาย ด้วยการแสดงท่าทีขึงขังหรือไม่
แต่เชื่อเหลือเกินว่าหากจะเร่งเกมเร็วกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ มีหรือฝ่ายตรงข้ามจะยอมให้ทำอะไรตามอำเภอใจกันสะดวกโยธิน การที่ศาลรัฐธรรมนูญออกตัวแรงมารับวินิจฉัยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มันก็ทะแม่งๆ อยู่แล้ว
จะเดินหน้าอวดอ้างอุดมการณ์เอาใจแฟนคลับ แต่ในทางปฏิบัติล้วนเป็นไปได้ยาก ไม่แน่ว่าใจจริงเนื้อแท้แล้วก็อาจเป็นการเล่นละครตบตาฉากหนึ่งเท่านั้น
ท่าทีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะขับเคลื่อนของจริงต้องไปแกนนำพรรคเพื่อไทยที่สุมหัวหารือกัน พร้อมเล่นเกมไปตามสถานการณ์ หลังจากวิเคราะห์หมากของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะฝ่ายตุลาการภิวัตน์ ต้องดูทางหนีทีไล่ ทางบุกทางถอยให้ทั้งตัวเองและฝ่ายตรงข้ามด้วย
หากไปทำอะไรที่เหมือนเป็นการหักหน้าฆ่าศาลกลางสาธารณะ ภัยร้ายย่อมตกมาถึงตัว ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตาม “คำแนะนำ” ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ดูเหมือนจะชี้ช่องให้แก้ไขเป็นรายมาตรา
“เหลิม บางบอน” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาย้ำนักย้ำหน้าว่าอย่าฝืนหักด้ามพร้าด้วยเข่าด้วยการลงมติโหวตรวาระ 3 รัฐบาลจะเดือดร้อน พรรคเพื่อไทยอาจถูกยุบ จะมีคนไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง นายกฯ จะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก พร้อมด่าดันเองออกอากาศ “อยากให้รัฐบาลพังเหรอ จะรีบร้อนไปทำไม” ขู่ดังๆ ว่า ถ้าเดินหน้าโหวตวาระ 3 ก็จะไม่ไปร่วมโหวตด้วยแน่นอน
ก็ไม่รู้ออกมาเตือนด้วยความหวังดี หรือว่ากลัวตัวเองจะหลุดจากอำนาจ ต้องกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านเหมือนกัน
แต่ถ้ามองกันไปให้ลึกอีกหน่อยก็จะเห็นสัจธรรมข้อเดิมว่า นักการเมืองย่อมคิดถึงแต่เกมการเมือง คิดถึงการอยู่รอด รักษาฐานอำนาจของตัวเองให้ยั่งยืนสถาพร ผลประโยชน์ของประชาชนมักเป็นเรื่องท้ายๆ ที่จะนึกถึง การประเมินสถานการณ์วางหมากกลจึงทำเพื่อตัวเองล้วนๆ
ในแวดวงการเมืองอาจถูกยกย่องว่าเป็นเกจิอาจารย์ แต่ในทางสังคมกลับถูกประณามว่าเป็นนักการเมืองพันธุ์ชั่ว เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่มันก็น่าแปลกสำหรับสังคมไทยนักการเมืองประเภทนี้มักไปได้ดีบนเส้นทางถนนการเมืองไทย..คิดแล้วก็น่าอนาจใจ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งแท่นจะแก้เป็นรายมาตรา เหนืออื่นใดเพราะกลัวรัฐบาลพังพาบ ล้มไปทั้งกระดาน ดีดลูกคิดคำนวณแล้วคงยังไม่ถึงเวลาเสี่ยง รัฐบาลเองก็บริหารประเทศมาแค่ปีเดียว จะทำอะไรหวาดเสียวให้ตัวเองอายุสั้นทำไม
ด้วยกระบวนการคิดบนสมมติฐานที่ไม่เคยแอบอิงกับหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง แฝงด้วยประโยชน์การเมืองตลอดมา ทำให้การเมืองไทยก้าวไม่พ้นวงจรอุบาทว์ หลายสิ่งหลายอย่างเดินหน้าไม่ได้ เป็นบัวพ้นน้ำไม่ได้ เพราะติดวัฒนธรรมความคิดแย่ๆ เหล่านี้
หากรัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ สามารถพลิกคว่ำหงายตรวจสอบความโปร่งใสได้ 360 องศา ก็ไม่จำเป็นต้องไปเกรงกลัวอำนาจมืด อำนาจสว่างใดๆ จะมาขัดขวาง ถ้าหากโดนเกมการเมืองเตะตัดขา กลั่นแกล้ง จนมีอันต้องล้มไป ประชาชน ปัญญาชนย่อมรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรม และพร้อมจะช่วยเหลือให้กลับมาอีก เลือกตั้งอีกประชาชนก็เลือกเข้ามาอีก เชื่อเหลือเกินว่าประชาชนจะให้โอกาสมาต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คอยหนุนหลังด้วยแรงศรัทธา สักวันหนึ่งก็ย่อมจะประสบความสำเร็จ และอาจเป็นวีรบุรุษทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นความขัดแย้ง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เลย หลายคนหลายฝ่ายสัมผัสได้ถึงความคิดสีเทา จ้องจะเปลี่ยนแปลงระบอบให้เอื้ออำนวยกับฝ่ายตัวเอง ต่อยอดอำนาจให้อยู่อย่างยั่งยืนต่อไป รวมทั้งพยายามช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดี และพรรคพวก มันจึงจับอาการได้ชัดเจน อาการละล้าละลัง ปอดกระเส่าไม่กล้าลุยกล้าชน เหมือนวัวสันหลังหวะ รู้ดีอยู่ว่าสิ่งที่กำลังอยู่นั้นมีวาระแอบแฝง ไม่กล้าเพราะผลประโยชน์หลายอย่างมันคัดง้างอยู่
จุดนี้เองจะเป็นตัวบ่อนเซาะศรัทธา ความเชื่อมั่น ยิ่งตีแผ่ประชาชนยิ่งเห็นธาตุแท้ จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องบ่งชี้เจตนา ดังคำว่าที่ว่า “คนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็ว”
เรื่องนี้ก็สรุปกันง่ายๆ ถ้าจริงใจทำกันจริงๆ ก็ไม่ต้องติด “กับดัก” มากมายขนาดนี้ ไม่ต้องหวาดระแวงเหมือนคนกลัวผีทั้งที่กลางวันแสกๆ และเชื่อเหลือเกินว่ากระบวนการที่จะเดินต่อไปย่อมต้องพบอุปสรรคอีก สุดท้ายถ้าประชาชนไม่หนุนเนื่อ งไม่เอาด้วย เมื่อนั้นก็ถึงเวลาเอวัง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่มีทางสำเร็จอย่างยั่งยืน ถ้าการเมืองยังเป็นแบบนี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้แก้ไขรายมาตราโดยรัฐสภา มันก็อาจจะกลายเป็นผลเสียไม่รู้จบเหมือนกัน มันอาจทำให้รัฐธรรมนูญต้องติดหล่ม ใช้ได้ไม่กี่ปี ก็ต้องเปลี่ยนกันใหม่ ใครมาเป็นรัฐบาลก็แก้ ก็เปลี่ยนให้สนองตัณหาฝ่ายตัวเอง นึกจะแก้มาตราไหนก็ทำได้เลย ไม่ต้องแคร์ใครหน้าไหนในสังคม สุดท้ายก็ตกเป็นอำนาจที่แหลมคมของรัฐบาลไปอีกชิ้นหนึ่งไว้ทิ่มแทงฝ่ายตรงข้าม
รัฐธรรมนูญกฎหมายสูงสุดของประชาชน ก็ไม่วายถูกการเมืองหยิบฉวยมาเล่นเกมอีก เฮ้อ!!