“ณัฐวุฒิ” ย้ำรัฐบาลควรลุยลงมติแก้ รธน.วาระ 3 ไปเลยโดยไม่ต้องฟังคำวินิจฉัยศาลฯ อ้างคำตัดสินทำให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและอำนาจประชาชนถอยหลัง พร้อมอ้างวิกฤตยุโรปทำยางราคาตก ยันไม่ได้นิ่งนอนใจ เดินหน้าแก้ปัญหาเต็มที่
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ผูกพันองค์กรด้วยกัน ซึ่งหากย้อนไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ปี 40 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่มีอำนาจเหมือนมาตรา 68 ปี 50 กลับมีคำวินิจฉัยที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ เห็นว่าคำวินิจฉัยเป็นการรัดกุมนิติบัญญัติที่จะสร้างให้เกิดปัญหาใหม่ในอนาคต และกลายเป็นการขยายขอบเขตอำนาจของศาลทำให้กลไกบิดเบี้ยว
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าควรนำเสนอไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ต้องดำเนินการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ต่อไปเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้สามารถเดินหน้าปกป้องอธิปไตยได้ อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ก็มีความคิดเห็นของหลายฝ่ายทั้งพรรคเพื่อไทย และวุฒิสมาชิก ก็มีความเห็นต่างกันไป เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีผลกระทบอะไรจากคำวินิจฉัย และคำวินิฉัยนั้นจะเป็นหลุมพรางหรือไม่ ทั้งนี้เห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าไปทิศทางใดเชื่อว่ามีกลุ่มคนที่รอโค่นล้มรัฐบาลอยู่ ดังนั้นจึงต้องปกป้องอย่างดี และเชื่อว่ารัฐบาลหลุดพ้นจากอันตรายมาได้เพราะนายกรัฐมนตรีอยู่เหนือความขัดแย้งและเดินหน้าทำงานตามนโยบายโดยที่ประชาชนให้ความสนับสนุน
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า หากสมาชิกรัฐสภาไม่ออกมาทักท้วงในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จะทำให้อำนาจของฝ่ายนิติบัญัติและอำนาจของประชาชนถอยหลังลงไป ตนจึงเห็นว่าจะต้องดำเนินการในการลงมติวาระ 3 ต่อไป ซึ่งตนก็พร้อมแสดงเหตุผลเพื่อสร้างความเข้าใจ ส่วนพี่น้องประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะเห็นอย่างไรต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
“การตัดสินใจเดินหน้าต่อไปหลายคนอาจไม่มั่นใจ เพราะอาจจะเป็นกับดักหลุมพรางได้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาที่รัฐบาลผ่านมาได้เป็นเพราะนายกเอาตัวเองอยู่เหนือความขัดแย้งและเดินหน้าทำงาน”
นายณัฐวุฒิยังกล่าวในฐานะ รมช.เกษตรฯ ถึงสถานการณ์ราคายางพาราที่ตกต่ำว่าเนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตยูโร โดยแนวทางแก้ไขปัญหาภาครัฐได้นำวงเงินขององค์การสวนยาง ที่มีอยู่เดิม 10,000 ล้านบาทมาใช้ดำเนินการพยุงราคายางไปก่อน ซึ่งใช้วงเงินไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท และจะขอประเมินสถานการณ์อีกครั้งหลังจากใช้งบประมาณไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าหากสถานการณ์ยางไม่ดีขึ้น จะมีการเสนอ ครม.ของบประมาณเพิ่มเติมมาดูแลราคายาง คาดจะของบเพิ่มเติมประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันราคายางรับซื้ออยู่ที่ 90-95 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมกับขอเสนอปรับราคารับซื้อในโครงการ ซึ่งราคายางแผ่นดิบชื้นชั้น 3 อยู่ที่ 93 บาท โดยหวังว่าราคายางที่เกษตรกรน่าจะพอใจอยู่ที่ระดับราคา 95-100 บาท ยืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ซึ่งจะเร่งหามาตรการแก้ไขราคายางตกต่ำให้เร็วที่สุด
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จะต้องมีการส่งเสริมการแปรรูปเพื่อใช้ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันใช้ในประเทศเพียง 14% ส่วนที่เหลือกลับส่งออกถึง 86% ซึ่งก็น่าจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรผู้ปลูกสวนยางมากขึ้น