หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้รัฐบาลควรเดินหน้าตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ถามหลบเลี่ยงใช้เทคนิคหากมีปัญหาจะทำอย่างไร ชี้บ้านเมืองเกิดปัญหามากพอแล้ว อยากให้รัฐบาลกลับมาสนใจปัญหาประเทศชาติดีกว่า หากยึดความพอใจเรื่องก็ไม่จบ
วันนี้ (14 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โยนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความคำวินิจฉัยอีกครั้ง ก่อนนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ส่วนตัวเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลได้สรุปประเด็นข้อกฎหมายหลักๆ ไว้ชัดเจนแล้ว คือทั้งการร้องตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลระบุว่าหากขั้นตอนต่อไปจากนี้ ขั้นตอนไหนที่มีความเสี่ยง ก็สามารถยื่นร้องได้ ข้อที่ 2 ศาลชี้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกฉบับปัจจุบันทั้งฉบับ ทำไม่ได้ เว้นแต่ไปจัดทำประชามติถามความเห็นประชาชนทั้งชาติก่อน
เมื่อข้อกฎหมายที่ศาลชี้เช่นนี้ รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองก็ควรทำให้ทุกฝ่ายเดินหน้าโดยไม่มีความขัดแย้ง น่าจะเป็นโจทย์ของรัฐบาลมากกว่าที่จะมาถกเถียงในทางกฎหมาย เพื่อหลบเลี่ยงใช้เทคนิค แล้วจะมามีปัญหาทีหลังตามมาเพื่ออะไร เพราะขณะนี้เรามีปัญหาในบ้านเมืองมากพออยู่แล้ว คำตัดสินของศาลที่ออกมาทำให้หลายฝ่ายยอมรับว่า ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่มีหลักกฎหมายที่ชัดเจน ทุกฝ่ายควรที่จะยึดปฏิบัติเพื่อให้ประเทศสามารถเดินไปข้างหน้าได้
เมื่อถามต่อว่า ขณะนี้แกนนำ นปช.ประกาศไม่ยอมรับคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และขอให้รัฐบาลเดินหน้าในการลงมติในวาระที่ 3 ต่อไปได้เลย หากแต่ละกลุ่มยังยึดความพอใจ หรือไม่พอใจเป็นหลัก เรื่องก็ไม่จบ เมื่อคำวินิจฉัยของศาลที่บางฝ่ายออกมายอมรับว่า มีลักษณะเป็นกลางๆ ดังนั้นทุกคนก็ควรยึดและเดินในทางสายกลางไป บ้านเมืองเราจะได้เดินได้ เพราะขณะนี้เรากำลังเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และอาจจะมีปัญหาภัยพิบัติในอนาคต
“เรามาเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้มากพอแล้ว อยากให้รัฐบาลกลับมาดูแล สนใจปัญหาของประเทศชาติจะดีกว่า ซึ่งรัฐบาลน่าจะดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ศาลวินิจฉัยไว้ ซึ่งหากรัฐบาลยังดึงดันที่จะเดินหน้าลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ต่อไป อนาคตก็จะเกิดข้อโต้แย้งและเป็นปัญหาตามมาอีก ทำไมเราต้องมาเพิ่มปัญหาให้บ้านเมืองอีก ผมขอให้รัฐบาลตั้งหลักเดินหน้า เพื่อให้ประชาชนมีความโล่งใจบ้าง ไม่ใช่ว่าทุกวันต้องมานั่งลุ้นว่าแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน จะเกิดปัญหาอะไรขึ้น หรือเกิดความขัดแย้งในเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ซึ่งในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ก็เคยมีการสอบถามในเรื่องนี้ รัฐบาลโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ได้ระบุเองว่าต้องทำประชามติทั้งก่อนและหลังการแก้ไข” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุแล้วว่าจะเรียกประชุมสมาชิกรัฐสภาเพื่อหาทางออกร่วมกันในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าอะไรก็ตามที่ดึงให้ทุกฝ่ายสามารถเห็นร่วมตรงกันได้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะเราไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งอีกแล้ว เพราะหากเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องของผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เราก็ควรจะหาจุดร่วมกันได้ แต่หากตั้งธงเพื่อให้เป็นตามความต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างนี้ และต้องทำให้ได้ อย่างนี้ความขัดแย้งก็ไม่จบ
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ Aoodda” ข้อความว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนในตัวอยู่เเล้วว่า การเเก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่สามารถทําได้หากไม่ผ่านการทําประชามติมาก่อน ซึ่งส่งผลให้ร่างเเก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับของรัฐบาลตกไป เพราะไม่ผ่านการทําประชามติมาก่อน ฉะนั้น หากยังจะนําร่างรัฐธรรมนูญไปลงมติในวาระ 3 ต่อไป ฝ่ายค้านก็จะไม่ร่วมลงมติด้วย เพราะเป็นการกระทําผิดกฎหมาย เเละเห็นว่ารัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ทํา 2 เรื่องเร่งด่วน คือ 1. ยุติการสร้างเงื่อนไข ความขัดแย้ง แตกแยกทางการเมืองโดยเร็ว ด้วยการระงับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป กับการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากวาระของสภา 2. เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ของแพง พืชผลการเกษตรราคาตกตํ่า หรือการป้องกันนํ้าท่วม ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่แท้จริงของรัฐบาล และสําคัญเร่งด่วนกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
ขณะที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวจะทำให้คนทั้งประเทศสบายใจขึ้นได้ และรัฐบาลก็ควรนำคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญไปปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา ทั้งนี้ หากรัฐบาลยังดึงดันที่จะต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยการตั้ง ส.ส.ร. ก็ควรทำประชามติ ถามความเห็นจากประชาชน ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำแนะนำ ซึ่งปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะหมดไป พร้อมกันนี้นายชวนนท์ได้เรียกร้องให้ แกนนำคนเสื้อแดง ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อย่าพยายามตั้งเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้ง เพราะถ้าคิดเพียงแต่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ บ้านเมืองก็จะไม่สงบ และหากรัฐบาล หยุดอุ้มคนเสื้อแดงที่คอยจะสร้างปัญหาก็เชื่อว่าจะสามารถอยู่บริหารประเทศครบ 4 ปีได้