xs
xsm
sm
md
lg

“จรัญ” ชี้ สภาลงมติแก้ รธน.วาระ 3 แม้ศาลไม่ห้ามแต่ผิด ม.291 ชัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ภาพจากแฟ้ม)
ตุลาการรัฐธรรมนูญ ชี้แม้ศาลไม่ได้ห้ามสภาผู้แทนราษฎรลงมติแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 แต่ผิดมาตรา 291 เหตุรัฐสภาต้องเป็นผู้แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง ต้องถามประชาชนเพื่อให้ได้รับฉันทานุมัติก่อน ส่วนการทำประชามติชี้เป็นเรื่องยาก ถามกลับทำไมไม่เลือกประเด็นไหนไม่ดีแล้วค่อยแก้ ไม่ใช่นึกจะแก้ก็แก้ เผยเสียดายโอกาสไม่ได้ลงมติ แต่เพราะมีธงอยู่แล้วจึงรู้สึกไม่สมควร

วันนี้ (13 ก.ค.) นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยคดีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า รัฐสภาจะสามารถลงมติในวาระที่ 3 ต่อได้หรือไม่ ว่า เท่าที่ฟังคำวินิจฉัยศาลไม่ได้ห้ามไม่ให้กระทำแต่คำวินิจฉัยในประเด็นที่ 2 บอกชัดแล้วว่า การกระทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญนี้ เนื่องจากรัฐสภาต้องเป็นผู้แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง จะมอบให้องค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐสภา เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับหรือยกเลิกไม่ได้ เพราะอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของปวงชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การจะทำโดยสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาก็ต้องถามประชาชน เพื่อให้ได้รับฉันทานุมัติของประชาชนก่อน ดังนั้น ถ้าทำไปหากฟังให้ดีในคำวินิจฉัยในประเด็นที่ 3 ที่ว่าฝ่าฝืนมาตรา 68 วรรคหนึ่งหรือยัง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การกระทำดังกล่าวยังห่างไกล เพราะกระบวนการยังไม่เข้าสู่ที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง

ส่วนการทำประชามติ ตามรัฐธรรมนูญอำนาจเป็นของประชาชนถือเป็นทางออกที่ดี แต่จะทำให้กระบวนการยากมาก การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละประเด็นแต่ละมาตราต้องขอประชามติจากประชาชนทุกครั้ง กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมก็ยากเกินไป และการแก้ไขรัฐธรรมนูญยากๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงวางขั้นตอนหลักเกณฑ์วิธีการเอาไว้ในมาตรา 291 ว่า จะแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นไหนไม่จำเป็นต้องไปขอประชามติ แต่แนวคำพูดในคำวินิจฉัยที่ได้ฟัง มีคำว่าแต่ถ้าการจะสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนผู้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้

“ทำไมไม่เลือกออกมาว่าประเด็นไหนในรัฐธรรมนูญปัจจุบันมันไม่ดี มันทำให้เกิดความเสียหายของประเทศหรือส่วนรวมก็แก้ไขเพิ่มเติมเป็นประเด็นๆ ไป ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติของรัฐสภาจากนี้ทำอย่างไรก็ต้องทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์อะไรที่รัฐธรรมนูญให้ทำได้ก็ทำอะไรที่ทำไม่ได้ก็อย่าทำ แล้วทำก็จงทำไปในทิศทางที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับประชาชนไม่ใช่ทำเพียงเพราะว่าเราต้องการจะทำ” นายจรัญ กล่าว

สำหรับที่หลายฝ่ายมองว่า คำวินิจฉัยและการฟ้องร้องครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการเมืองไทยที่อำนาจของศาลเข้าไปดูแลหรือพิจารณาหลายๆ เรื่อง นายจรัญ กล่าวว่า ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไม่ใช่อำนาจศาลแต่เป็นอำนาจของรัฐธรรมนูญที่ศาลไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือเลย ถ้าไม่อยากให้ศาลมีอำนาจนี้ก็แก้ไขในมาตรา 68 ให้ชัดเจนในอย่างที่อยากจะให้เป็น คือ ให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดโดยประชาชนที่ทราบเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบแล้วให้อัยการสูงสุดมีดุลพินิจจะยื่นคำร้องต่อศาล ซึ่งหากเขียนอย่างนี้ ศาลจะเข้าไปไม่ได้ จะรับคำร้องโดยตรงของประชาชนก็ไม่ได้ แต่นี่รัฐธรรมนูญเขียนว่าให้ประชาชนที่ทราบเรื่องการที่จะกระทำการดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องศาลเข้าไปแทรกแซงทางการเมือง แต่เป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน ถ้าไม่มีใครร้องต่อศาล ศาลจะหยิบคำร้องมาวินิจฉัยเองได้

เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยในครั้งนี้จะมีผลผูกพันกับคำร้องที่มีลักษณะเดียวกันหรือไม่ นายจรัญ กล่าวว่า มีผลผูกพัน เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันกับคดี แม้จะเป็นคนละคำร้อง และคนละเหตุการณ์ แต่ถ้าอยู่ในลักษณะเดียวกันก็ถือมีผลผูกพัน ถึงแม้ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะเปลี่ยนแปลงได้ก็ตาม

นายจรัญ ยังกล่าวถึงความรู้สึกต่อกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญในช่วงที่ผ่านมา ว่า เป็นปกติ เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญก็เคยเผชิญเหตุเช่นนี้มาก่อน ดังนั้น ขอให้ศาลอย่าหวั่นไหวไปตามกระแสของฝ่ายตรงข้าม ขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก อย่าไปรับสินบน ใบสั่งหรือรับใช้ใคร

เมื่อถามว่า หากรัฐสภา เดินหน้าลงมติในวาระ แล้วมีผลทำให้เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 68 และหากมีผู้ทราบการกระทำจะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้หรือไม่ นายจรัญ กล่าวว่า ตนไม่จำเป็นต้องให้ความเห็นในเรื่องนี้อีก เพราะมันชัดเจนในคำวินิจฉัยอยู่แล้ว หากดูดีๆ ก็จะเป็นคำวินิจฉัยกลายๆ ที่จะสามารถทำได้

“รู้สึกเสียโอกาสที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงมติในคำร้องดังกล่าวนี้ เปรียบเสมือนนักฟุตบอลที่เล่นเกมอยู่สนาม แต่ถูกกรรมการให้ใบแดงและหมดสิทธิเล่นต่อ เพราะต้องเดินออกจากสนาม เพื่อให้กระบวนการเดินหน้าไป และไม่เป็นจุดอ่อน เพราะการที่ตนไปแสดงความคิดเห็นล่วงหน้า ก็เปรียบเสมือนมีธงในการวินิจฉัยอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรและไม่เหมาะที่จะร่วมในกระบวนการต่อไป” นายจรัญ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น