“วิรัตน์” เผยพอใจคำตัดสิน ชี้ รัฐแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องประชามติ พร้อมแจงเหตุผล ยันเข้าวาระ 3 ไม่ได้ ปัดตอบศาลชี้ไม่ล้มล้าง ย้อน “ยงยุทธ” รับเองเป็นคนในพรรค ส่วน “เสื้อหลากสี” พร้อมคัดค้าน หากแก้เพื่อนายใหญ่ ด้าน ส.ว.สมชาย ยึดคำวินิจฉัย ม.68 ประชาชนมีสิทธิ์ร้อง มองเป็นผลดีกับทุกฝ่าย
วันนี้ (13 ก.ค.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้อง กล่าวว่า พอใจกับคำวินิจฉัย และตรงกับตามที่ได้คาดการณ์ไว้ โดยขณะนี้รัฐบาลสามารถทำได้ 2 ทาง คือ 1.การแก้ไขเป็นรายมาตรา ซึ่งมี ส.ส.-ส.ว.เป็นผู้ดำเนินการ และต้องบอกกรอบที่จะแก้ไข ว่า มีมาตราใดบ้าง 2.หากรัฐบาลจะยังยืนยันที่จะแก้ไขทั้งฉบับโดยการจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นั้น รัฐบาลต้องทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนว่าต้องการให้แก้ไขทั้งฉบับหรือไม่ พร้อมต้องชี้แจงสาเหตุว่าเพราะเหตุใด เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เป็นของประชาชน และพระมหากษัตริย์ รัฐสภาจะทำเองทั้งฉบับไม่ได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่สามารถนำการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 เข้าที่ประชุมสภาได้
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนการที่ศาลพิจารณาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เป็นการล้มล้างการปกครองนั้น ตนยังไม่อยากแสดงความเห็นอะไร แต่ที่ผ่านมา นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เป็นผู้ยืนยันเองว่า พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง เป็นกลุ่มเดียวกัน และแกนนำคนเสื้อแดงก็เคยกล่าวถ้อยคำที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง แต่การที่ศาลยังพิจารณาว่ายังไม่เข้าประเด็นนี้นั้น อาจเป็นเพราะพฤติกรรมยังไม่เกิดชัดเจน ซึ่งถ้าชัดเจนแล้วพวกตนก็พร้อมจะยื่นคำร้องใหม่
ขณะที่ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า ต้องเคารพศาล และจะรอดูการดำเนินการต่อไปของรัฐบาล ขณะนี้หากรัฐบาลยังยืนยันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องทำเป็นรายมาตราเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การแก้ไขเป็นรายมาตราดังกล่าวก็ต้องเป็นประเด็นที่ประชาชนได้ประโยชน์เท่านั้น แต่หากแก้เฉพาะมาตราที่ตัวเองได้ประโยชน์ อาทิ มีวาระเพื่อช่วยเหลือใครคนใด ต้องการจะทำความผิดให้เป็นถูก กลุ่มคนเสื้อหลากสีก็พร้อมจะออกมาคัดค้านต่อไป
ส่วน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะ 1 ในผู้ร้อง กล่าวว่า ทางฝ่ายผู้ร้องพอใจกับคำวินิจฉัยของศาล เพราะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในการยับยั้งกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ อีกทั้งศาลยังได้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนใช้สิทธิตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ ในการพิทักษ์รักษัฐธรรมนูญในอนาคต หากมีผู้ใดพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งนี้ คำวินิจฉัยยังทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 ที่อยู่ในชั้นรัฐสภาตกไปอย่างชัดเจน หากต้องการแก้ไข จำเป็นต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมด โดยต้องผ่านกระบวนการประชามติ หรือแก้ไขเป็นรายมาตราโดยสมาชิกรัฐสภาเอง
นายสมชาย กล่าวอีกว่า ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หากต้องการแก้ไขเป็นรายมาตรา ก็ต้องเสนอร่างเข้ามาใหม่ให้ชัดเจนว่าจะแก้ไขมาตราใดบ้าง เช่นต้องการแก้ไขมาตรา 309 ก็ต้องระบุมาให้ชัด หรือหากต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องผ่านกระบวนการประชามติเท่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็ยืนยันว่า ต่อแต่นี้จะสามารถใช้ทางลัดใดๆ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อีก
“ถือว่าครั้งนี้ฝ่ายผู้ร้องได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มองว่าเป็นชัยชนะกับทุกฝ่าย ทั้งศาล ฝ่ายผู้ร้อง หรือฝ่ายผู้ถูกร้อง ที่ทราบมาว่า ทางคนเสื้อแดงพอใจกับผลการตัดสิน เพราะอย่างน้อยพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ถูกยุบ” นายสมชาย ระบุ