ผ่าประเด็นร้อน
การออกมาให้ความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สุชาติ ธาดาธำรงเวช ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงจะอายุสั้นอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ เนื่องจากกำลังเจอกับมรสุมทางการเมืองรุมเร้าเข้ามาทุกทาง ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันยังได้เปิดเผยถึงอนาคตตัวเองโดยคาดคะเนว่าน่าจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงแค่ 1 ปี โดยเมื่ออายุครบ 60 ปี ถือว่าต้องเกษียณทางการเมือง เดินมาถึงเป้าหมายแล้วอะไรทำนองนั้น อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นประเด็นก็คือเขาพูดในทำนองเปิดใจ โดยเฉพาะเมื่อให้ความเห็นเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่บอกว่าเป็นเรื่องเล็ก และคนที่เข้ามาใหม่ก็ไม่ต้องมีคุณสมบัติพิเศษอะไร เพราะต้องทำตามนโยบายนายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ เรื่องที่มีข่าวว่าจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิก 111 ที่เพิ่งพ้นโทษแบนจะเข้ามานั่งเก้าอี้แทน
ประเมินจากคำพูดของสุชาติทำให้เข้าใจสถานการณ์อยู่ 2 เรื่องใหญ่ นั่นคือเรื่องที่กำลังเผชิญหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการปรับคณะรัฐมนตรีที่คราวนี้จะต้องมีการสับเปลี่ยนถึงเวลาให้พวก “ขาใหญ่” ที่เว้นวรรคไป 5 ปีกลับเข้ามามาบทบาทอย่างเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องสะเทือนไปถึงคนที่นั่งเก้าอี้อยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน
เพราะพิจารณาตามความเป็นจริงทั้งรัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ลงมาจนถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคแทบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพวกแถวสองแถวสาม เคยเป็น “ตัวสำรอง” ทั้งสิ้น หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นซ้ำซ้อนต่อเนื่องกันหลายครั้งรับรองว่าสภาพจะไม่เป็นอย่างในปัจจุบัน
หากวิเคราะห์จากเรื่องแรก คือ กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สะดุดลงหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องว่าการแก้ไขดังกล่าวเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาชี้ขาดออกมาไม่เกินเดือนสิงหาคม ถ้าผลออกมาตามคำร้องมันก็ย่อมเกิดแรงสั่นสะเทือนตามมามากมาย นั่นคือจะมีคดีอาญาเกิดขึ้นมากมายกับสมาชิกรัฐสภาที่ลงมติเห็นชอบให้แก้ไขก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นจะมีส่งผลมาถึงนายกรัฐมนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีการปลุกระดมให้เผชิญหน้ากับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยื่นถอดถอนการประกันตัวในคดีก่อการร้ายของ “จตุพร พรหมพันธุ์” แม้เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ก็พยายามขยายผลออกไปเรื่อยๆ และยึดโยงมาถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
นั่นเป็นเรื่องหลักในทางกฎหมาย ขณะเดียวกันยังมีเรื่องภัยธรรมชาติ จากปัญหาอุทกภัยที่เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุมก็มีโอกาสเหตุการณ์ซ้ำรอยปีที่แล้วไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีเรื่องความล้มเหลวในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ รายได้ไม่พอจ่าย สะสมความไม่พอใจ โดยคนพวกนี้คงไม่สนใจว่าประชาธิปไตยจะเป็นแบบไหน แต่สนใจเรื่องปากท้องเท่านั้น
เมื่อวกมาที่การปรับคณะรัฐมนตรีที่เป็นอีกเรื่องใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แน่นอนว่า คนอย่างสุชาติ ย่อมรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าถึงเวลาต้องลุกออกไปให้ตัวจริงเข้ามา เพราะหากพูดกันตามความเป็นจริงหากย้อนกลับไปตามช่วงเวลาปกติคนอย่างสุชาติ ถือว่า “ไร้ราคา” ดังนั้น เมื่อพวก 111 ที่เคยมีบทบาทพ้นโทษกลับมาก็ต้องเป็นเรื่องปกติที่ต้องมาทวงเก้าอี้คืนไป
แต่ปัญหาก็คือ ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ตัวสำรองที่ผันตัวเองมาเป็นตัวจริงก็ย่อมไม่อยากกลับคืนสู่สภาพกระจอกเหมือนในอดีต เพราะการเป็นรัฐมนตรี มีตำแหน่งทางการเมืองมันโก้หรู มีทั้งอำนาจและเงินทองย่อมต้องสนุกเคลิบเคลิ้มเป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อไม่อยากเปลี่ยนแปลงก็ต้องหาทางกีดกันทุกทาง ซึ่งความรู้สึกแบบนี้รับรองว่าน่าจะเกิดขึ้นกับ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ด้วย เพราะแม้ว่าเก้าอี้จะไม่สะเทือน แต่ความหมายก็คือการคงอยู่ในแบบที่มีแต่คนคล้อยตามไม่ขัดคอย่อมต้องชื่นใจกว่าอยู่กับพวกที่ “รู้มาก” สั่งลำบากแน่นอน แต่เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงก็คงต้องมีแค่จำเป็นในวงจำกัดเท่านั้น
แต่ไม่ว่าผลออกมาแบบไหน การปรับคณะรัฐมนตรีเที่ยวนี้จะต้องเกิดแรงกระเพื่อมแน่นอน โดยเฉพาะระหว่างพวกหน้าเก่าที่กำลังจะเข้ามาใหม่ กับคนเก่าที่ไม่อยากลุกออกไป ซึ่งสำหรับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ สุชาติ นั่งอยู่คงไม่มีปัญหา เพราะ “หัวเดียวกระเทียมลีบ” ไม่มีเพาเวอร์ แต่สำหรับพวกที่เป็น ส.ส.มีความพยายามจับกลุ่มกันไว้ล่วงหน้า คนพวกนี้แหละจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากคำพูดของสุชาติ หากมองในมุมของความจริงก็ต้องคล้อยตาม เพราะมันสอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ และนับจากนี้ไปหลังจากเปิดสภาสมัยสามัญในเดือนสิงหาคมถือว่ารัฐบาลจะต้องเผชิญกับศึกใหญ่รอบด้านจริงๆ ทั้งการถูกซักฟอกจากฝ่ายค้าน ภัยธรรมชาติที่กำลังพุ่งเป้าเข้ามา และปัจจัยชี้ขาดก็คือเรื่องการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ดังกล่าวมีเจตนาล้มล้างการปกครองหรือไม่ ถ้าใช้ก็จบเห่
และเมื่อสังเกตจากอาการเคลื่อนไหว กราดเกรี้ยวใส่อารมณ์กันมากผิดปกติแบบนี้ มันก็พอประเมินได้ว่า ผลน่าจะออกมาแบบไหนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะอยู่ถึงสิ้นปีหรือไม่ อย่ากะพริบตาเป็นอันขาด!!