โฆษกรัฐจวก “ฝ่ายค้าน” ปม “อู่ตะเภา” ลั่นอย่าดึงไทยสู่ความขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจ ยกนักวิจัยญี่ปุ่นตั้งสถานีเทียบเคียง “นาซา” ยันไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีการตั้งฐานทัพ-ไม่มีอาวุธ ชี้ไทยได้ประโยชน์เรื่องป้องกันน้ำท่วมด้วย เหน็บ ปชป.มัวจัดทอล์กโชว์จนงงไม่รู้เรื่อง
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ที่อาจจะถูกเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ว่า ต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าเรื่องนี้แบ่งเป็น 2 โครงการ คือ 1. โครงการศึกษาผลกระทบของอนุภาคแขวนลอยในชั้นบรรยากาศ และสภาพภูมิอากาศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 2. การตั้งศูนย์ HADR (เอช-เอ-ดี-อาร์) เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดภัยพิบัติในระดับภูมิภาค อย่างไม่เป็นทางการที่สนามบินอู่ตะเภา และให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาและฝึกอบรมการปฏิบัติงาน ซึ่งฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกหน่วยงาน ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว อย่าผลักประเทศไปสู่จุดศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งเผชิญหน้าระหว่างประเทศมหาอำนาจของโลก โดยไม่มีมูลเหตุอันควร
นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า หากย้อนมาโครงการนี้เริ่มจากการพูดคุยระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. กับสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และได้มีข้อตกลงในการศึกษาวิจัยร่วมกัน โดยได้ลงนามความร่วมมือระหว่าง นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร สทอภ. กับนายชาร์ลส์ เอฟ โบลเดน ผู้บริหารจัดการโครงการ เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้นำในด้านนี้ มีนักวิจัยในทีมเป็นร้อย และในทีมมีนักวิจัยไทยที่เป็นลูกศิษย์กันกับคณะทำงานชุดนี้ ทำงานกันมากว่า 20 ปี ในจีน ยังมีการเอา C-130 เข้าไปบิน ซึ่งทำเยอะกว่าในอาเซียน ในญี่ปุ่นนาซาก็ไปทำ ไม่มีปัญหาอะไร หรือทีมนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นก็เข้ามาตั้งสถานีที่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย ต่อมาก็ย้ายไปที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
“เรื่องนี้นาซาเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเขาเองเลย เขาทำเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่ฟ้ามันผืนเดียวกัน ติดกัน เขาจะบินผ่านน่านฟ้าใคร เขาก็ต้องขออนุญาต แต่มีคนอวดรู้สู่ฉลาดว่า กรณีเขาจะบินข้ามน่านฟ้าเรา ให้เราไปถามความเห็นจากประเทศอื่นก่อน ซึ่งไม่ถูกเรื่อง รวมถึงกรณีมีคนโชว์เอกสารแผ่นเดียว ต้องบอกว่ามั่วเอกสาร มันคนละเรื่องกัน เหตุผลที่เขารีบดำเนินการ นอกจากจะเกี่ยวเนื่องกับปีงบประมาณแล้ว ยังคาดว่า ช่วงปลายฤดูฝน ราวเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน ปริมาณหมอกควันในอินโดนีเซีย หมอกควันจากพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทย จะมีความเหมาะสมที่จะศึกษา ซึ่งจะมีประโยชน์ในการปรับปรุงระบบพยากรณ์อากาศ จากการก่อตัวของเมฆและฝนดีขึ้น ซึ่งที่สุดก็สามารถนำมาใช้กับแผนการป้องกันน้ำท่วมของประเทศในภาพใหญ่ เป็นเรื่องดีมีประโยชน์” นายอนุสรณ์กล่าว
นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า สำหรับอุปกรณ์ที่จะนำเข้ามาใช้ ทาง GISTDA ก็ได้ตรวจสอบในเบื้องต้น ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง หรือการจารกรรมข้อมูลทางทหารใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเมื่ออนุญาตให้ดำเนินการทางนาซ่าก็จะจัดส่งแผนปฏิบัติการทั้งหมดมาให้อนุมัติอีกครั้ง และหากเรายังไม่อนุมัติโครงการ เขาก็จะวางแผนในการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ ในพื้นที่ศึกษาอื่นต่อไป เพราะเครื่องมือลักษณะนี้ในโลกถือว่ายังมีอยู่อย่างจำกัด ส่วนโครงการที่ 2 การตั้งศูนย์ HADR (เอช-เอ-ดี-อาร์) อย่างไม่เป็นทางการที่สนามบินอู่ตะเภา และให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาและฝึกอบรมการปฏิบัติงาน เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดภัยพิบัติในระดับภูมิภาค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็เคยเห็นดีเห็นงามกับโครงการนี้ในขณะนั้น
“มาวันนี้ความจำสั้นจำอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งที่โครงการนี้เมื่อเกิดภัยพิบัติในระดับภูมิภาคเขาจึงมา ไม่เกิดก็ไม่ต้องมา มีเพียงการซ้อม เหมือนกับการฝึกคอบร้าโกลด์ คือปรับปรุงการทำงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน ไม่มีการจัดตั้งฐานทัพอะไรทั้งนั้น ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีขีปนาวุธ เต็มที่ก็มีแต่ถุงทรายเอาไว้แก้ปัญหาน้ำท่วมเท่านั้น ตกลงพวกคุณมัวไปจัดทอล์กโชว์กันจนงง หรือจำอะไรไม่ได้จริงๆ อย่ามาศิริโชคกันให้มาก ถ้าจะค้านคุณต้องค้านตัวคุณเองตั้งแต่แรก อย่ามารู้สึกช้า สังคมเขาเอือมระอา ว่างมากก็ไปจัดทอล์คโชว์อ่ะดีแล้ว สังคมจะได้ไม่สับสนวุ่นวาย และวันนี้สังคมก็ได้รับรู้แล้วว่าที่ฝ่ายค้านเร่งให้ปิดประชุมสภาก็เพราะอยากมาจัดทอล์คโชว์นี่เอง” นายอนุสรณ์กล่าว