“ประพันธ์” แจงการประชุม กกต.มี 4 เสือถือว่าปกติ ชี้นอกจากใบแดง “เก่ง การุณ” ยังมีเรื่องพิจารณากว่า 10 เรื่อง หวั่นกระทบสำนวนอื่น ยันไม่มีธงหรืออำมาตย์บงการ แค่ชี้มูลก่อนส่งศาลฎีกา โต้ “สดศรี” ยัน “เก่ง การุณ” ปราศรัยใส่ร้ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง ม.53 (5) ชัด ชี้เคยให้ใบแดง ส.ส.ปชป.และ ส.ส.อุดรธานี ในคดีเดียวกันมาแล้ว
วันนี้ (25 มิ.ย.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณี กกต.เสียงข้างมาก สั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง หรือให้ใบแดงนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ว่าการพิจารณาของ กกต.ที่มีการพิจารณาเพียง 4 คนนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเรามีนัดหมายประชุมอยู่ ซึ่งหาก กกต.1 คนติดภารกิจต่างจังหวัด กกต.ที่เหลือก็จะมีการประชุมตามปกติอยู่แล้ว อีกทั้งในที่ประชุมวันนั้นมีการพิจารณา ส.ส.อยู่หลายเรื่อง และมีการพิจารณาของท้องถิ่นเกือบ 10 เรื่อง ไม่ใช่เป็นการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเพียงเรื่องเดียว และถ้าหากจะให้เลื่อนออกไป ก็ต้องเลื่อนคำร้องออกไปทั้งหมด
ทั้งนี้ การประชุมที่มีองค์ประชุม 4 คน เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ถ้าเสียงออกมาเท่ากัน ประธานในที่ประชุมก็สามารถออกเสียงชี้ขาด โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 8 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติของข้อกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนที่ กกต.บางคนออกมาระบุว่า จะต้องมีองค์ประชุมให้ครบก่อนที่จะมีการพิจารณาดังกล่าวนั้น ยืนยันว่า องค์ประชุมครบแล้วดังนั้นการพิจารณาเรื่องของนายการุณเป็นการพิจารณาตามปกติ
“ทางคณะอนุกรรมการวินิจฉัยที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็มีมติเอกฉันท์เสนอ กกต.ให้ใบแดงนายการุณ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคณะอนุวินิจฉัยในครั้งนี้ ส่วนในรายละเอียดของการพิจารณาผมคงไม่ขอออกความเห็นใดๆ เนื่องจากต้องร่างคำวินิจฉัยส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งพิจารณา” นายประพันธ์กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการปราศรัยโจมตี กกต.ไม่เคยมีมติให้ใบแดงมาก่อน นายประพันธ์กล่าวว่า ในมาตรา 53 (5) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.บัญญัติไว้แล้วว่า การใส่ร้ายด้วยความเท็จ ถือเป็นความผิด ซึ่งบัญญัติไว้ตั้งแต่ในกฎหมายฉบับที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนั้นก็เข้าข่ายในตัวบทกฎหมาย ส่วนผลสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะพิจารณา
เมื่อถามว่า บางฝ่ายมองว่า กกต.มีธงจะโจมตีพรรคเพื่อไทย นายประพันธ์กล่าวว่า กกต.ไม่มีธงในการพิจารณาคำร้อง เพราะเราพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ซึ่งในกรณีนี้มีการสั่งสอบเพิ่มเติม เพื่อให้แจ้งข้อกล่าวหา เพราะว่าที่ทำสำนวนมายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา จึงทำให้กระบวนการพิจารณาล่าช้า
“ตั้งแต่ผมมาเป็น กกต.เรียนตามตรงว่าไม่มีใครมาสั่งให้ กกต.ทำอะไรในลักษณะเช่นนี้ หรือผู้มีอิทธิพล อำมาตย์ ก็ไม่เคยมี ซึ่งการปราศรัยให้ร้ายโจมตี ก็เคยมีการให้ใบแดง เมื่อปี 50 ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต.ไม่เคยดูในตัวบุคคลว่าคนนั้นเป็นใคร หรือพรรคการเมือง แต่ดูจากข้อเท็จจริง หลักฐาน และกฎหมายเป็นหลัก และถ้าเป็นส่วนของผมที่ได้ลงมติไปนั้น สามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง” นายประพันธ์กล่าว และว่า สำนวนที่ทาง กกต.เสนอไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งนั้นยังไม่ได้ชี้ว่าบุคคลนั้นต้องผิด เพียงแต่บอกว่าพยานหลักฐานนั้นมีมูล ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นของ กกต.เท่านั้นที่เสนอไปยังศาลฎีกา และศาลฎีกาจะเป็นผู้พิจารณา
เมื่อถามว่า กรณีการให้ใบแดง นายการุณ กังวลหรือไม่ว่าจะมีมวลชนมาปิดล้อม นายประพันธ์ กล่าวว่า การจะทำอะไรก็ต้องหนักแน่น แต่อย่าใช้ความรุนแรง ถ้ามีมวลชนมาก็ไม่เป็นไร เพราะมวลชนก็เคยมา กกต.ถ้ามาแล้วก็ควรพูดจาด้วยเหตุด้วยผล อย่าใช้ความรุนแรง ส่วนกรณีนี้ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน ก็เหมือนการตีความในมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยตรง แต่อัยการสูงสุดการยกคำร้อง ถือเป็นของการตีความ
“ตอนที่ผมเป็น ส.ส.ร.และยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่นึกถึงตรงนี้ คิดว่า จะต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุด แต่เมื่อเป็นกฎหมายแล้ว ก็เป็นเรื่องของการตีความ เจตนารมณ์ของคนยกร่างสามารถคำนึงถึงได้ แต่ศาลไม่จำเป็นต้องตีความตามเจตนารมณ์ของคนร่างก็ได้ นี่เป็นหลักของนิติศาสตร์สากล ซึ่งถ้อยคำสามารถตีความได้หลายอย่าง ถือเป็นมุมมอง และความสวยงามของกฎหมาย” นายประพันธ์ กล่าว
อ่านข่าวประกอบ : ใบแดง “เก่ง การุณ” พ้น ส.ส.!! มติ กกต.ชี้ใส่ร้าย “อี้” ชัด ชงศาลฟันต่อ