ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่ายังมีเวลาและเส้นทางข้างหน้าอีกยาวไกลพอสมควรกับอนาคตทางการเมืองของ การุณ โหสกุล หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง พ้นสภาพการเป็น ส.ส.กทม.เขต 12 และปรับเงินค่าเสียหายจากการเลือกตั้งใหม่ เพราะขั้นตอนหลังจากนี้ต้องส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดต่อไป ซึ่งก็ไม่แน่ว่าศาลอาจยกคำร้องก็ได้ เหมือนกับกรณีของบุญจง วงศ์ไตรรัตน์
แต่นาทีนี้ถ้ามองในภาพรวมเฉพาะหน้าก็ต้องถือว่าการุณเอียงจะหล่นไปเกินครึ่งตัวแล้ว
ขณะเดียวกัน มุมอีกอารมณ์หนึ่งกลายเป็นว่า ถ้าข่าวไหนก็ตามหากเกี่ยวข้องกับ การุณ โหสกุล เมื่อไหร่เรตติ้งพุ่งกระฉูดทุกครั้ง และคราวนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่รอศาลตัดสินก็ลองลงไปดูพื้นที่และความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเตรียมรองรับอนาคตกันบ้าง ซึ่งหากพิจารณาจากทั้งสองฝ่ายคือทั้งพรรคเพื่อไทยที่เป็นแชมป์เก่า กับประชาธิปัตย์ ที่เริ่มขยับกันแล้ว
เริ่มจากประชาธิปัตย์ก่อน คราวที่แล้วส่ง “อี้” แทนคุณ จิตต์อิสระ ลงท้าชิง และผลออกมาก็ถือว่าได้รับเสียงตอบรับจนน่าพอใจเกินคาดแพ้การุณ แค่พันกว่าคะแนนเท่านั้น เพราะถ้ามองจากฐานการเมืองแล้วที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า คนที่มีหลายบุคลิกในร่างเดียวแน่นหนา มีแม่ยกไม่น้อย
คราวนี้หากผลออกมาเป็นไปตามที่ กกต.ชี้ออกมา แล้วละก็บรรยากาศต้องดุเดือดเข้มข้นแน่นอน เพราะอย่างน้อย ฝ่ายประชาธิปัตย์มีการยืนยันออกมาจากของ หัวหน้าพรรคคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะส่ง เขาลงสมัคร เช่นเดิม
ขณะที่อีกฝ่ายคือ การุณ และพรรคเพื่อไทยก็เริ่มขยับเช่นเดียวกัน แต่ถือว่ามีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่า เพราะกรณีนี้ถือว่าเป็นใบแดง ไม่ใช่ใบเหลืองที่เจ้าตัวลงป้องกันแชมป์ได้ ดังนั้นสิ่งที่ การุณ ทำได้ก็คือ พยายามผลักดันญาติพี่น้องของตัวเองลงเป็น “นอมินี” ซึ่งก็ได้ประกาศดักคอเอาไว้แล้วว่าจะส่ง “พี่สาว” หรือไม่ก็ “เมีย” ลงสมัครแทน ซึ่งความหมายก็คือต้องการรักษาอาณาจักรของตัวเองที่เพียรสร้างมาตั้งแต่ยุคเป็น ส.ข.-ส.ก.จนแม้กระทั่งถูกตัดสิทธิ ส.ส.มาแล้วเมื่อครั้งปลอมวุฒิการศึกษาปริญญาตรี จนกระทั่งได้กลับมาใหม่ ถือว่าเขาผ่านมาอย่างโชกโชน
เมื่อเห็นเส้นทางดังกล่าวก็ต้องเข้าใจดีกว่าคนอย่าการุณจะ “หวง” แค่ไหน แต่ก็อย่างว่านั่นเป็นการเมืองในภาพเล็ก เป็นแค่เฉพาะพื้นที่เท่านั้น หากพิจารณาในภาพใหญ่ ก็ต้องเข้าใจว่าการเลือกตั้งซ่อม (ถ้าเกิดขึ้น) จะลุกลามกลายเป็น “ศึกชนช้าง” เป็นศักดิ์ศรีพิสูจน์ความนิยมระหว่างสองพรรคใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ที่สำคัญยังเป็นช่วงที่ระยะห่างที่ความนิยมในสนามเมืองหลวงยังสูสีแม้ในภาพรวมแล้วยังถือว่าประชาธิปัตย์เป็นต่ออยู่บ้าง แต่ถ้าแยกกันเฉพาะในเขต 12 ดอนเมืองแล้วก็ต้องบอกว่า ฐานของ การุณ ยังแน่น แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่เป็นต้นมา และตามข่าวบอกว่า แทนคุณ ของประชาธิปัตย์ยังเกาะพื้นที่มาตลอด มันก็เริ่มทำคะแนนไล่จี้มาติดๆ ดังนั้นถึงแม้ว่า การุณจะลงแข่งขันด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่เหมือนกัน และยิ่งต้องส่งตัวแทน มันก็ทำให้เป็นสนามที่เข้มข้นขึ้นอีก ด้วยปัจจัยดังกล่าว
แต่ที่น่าจับตาก็คือ เริ่มมีความเคลื่อนไหวผลักดันให้ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เพิ่งถูก กกต.ชี้ให้พ้นสภาพ ส.ส.มาหมาดๆ เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ซึ่งต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ว่าเจ้าของพื้นที่จะยอมหรือไม่ เพราะถ้ายอมนั่นก็หมายความว่า “อิทธิพล” ในพื้นที่ก็จะถูกผ่องถ่ายออกไปทันที
ขณะเดียวกัน มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัว คือ จตุพร จะกล้าเสี่ยงหรือไม่ เพราะถ้าลงแล้วชนะเขาก็จะกลับมาเป็น ส.ส.ได้เอกสิทธิ์คุ้มครอง หลายคดีที่มีข้อหาฉกรรจ์ก็จะถูกพักเอาไว้ชั่วคราว แต่ถ้าแพ้ก็จบเห่เหมือนกัน เป็นการพิสูจน์ศักดิ์ศรีระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ ประชาธิปัตย์ แต่ฝ่ายเพื่อไทยมีต้นทุนสูงกว่าเท่านั้นเอง ในทางการเมืองถือว่าสนุกสุดขีด
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างในเวลานี้ยังเป็นเพียงการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ยังไม่เกิดขึ้นจริง เพราะอย่างที่บอก ต้องรอให้ศาลชี้ขาดออกมาก่อน แต่ระหว่างรอก็อาจนึกสนุกคิดไปไกล อยากให้เกิดบรรยากาศอย่างที่ว่า นั่นคือผลออกมาตามมติ กกต.จริงๆ!!