xs
xsm
sm
md
lg

เปิดรายละเอียดคำร้องพันธมิตรฯ ยื่นศาล รธน.ฟัน 416 นักการเมืองล้มล้างรัฐธรรมนูญ(ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายข้อ ๑.๑๖ ต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบัน โดยจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ที่ไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินได้ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาแต่อย่างใด และรัฐสภาจะต้องทราบตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายแล้วว่า คณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินตามที่แถลงนโยบายในข้อ ๑.๑๖ ไม่ได้ ซึ่งรัฐสภาโดยสมาชิกรัฐสภาจะต้องท้วงติงตั้งข้อสังเกตนโยบายของรัฐบาลข้อ ๑.๑๖ ในวันที่แถลงนโยบาย โดยไม่ต้องลงมติไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๖ ตามอำนาจหน้าที่ตามกลไกของสถาบันการทางการเมืองของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งต้องตรวจสอบและคานอำนาจของฝ่ายบริหารเพื่อให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพของการปกครองตามแบบรัฐสภา ตามที่บัญญัติไว้ในบริบทของรัฐธรรมนูญและตามระบอบประชาธิปไตยที่เป็นหลักสากล

เมื่อสมาชิกรัฐสภาได้ทราบถึงนโยบายของคณะรัฐมนตรีข้อ ๑.๑๖ หากไม่ได้มีการท้วงติง ตั้งข้อสังเกตในวันแถลงนโยบาย สมาชิกรัฐสภาก็จะต้องใช้ความระมัดระวังมิให้คณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน โดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยต้องระมัดระวังมิให้คณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายปฏิรูปการเมืองที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภา แต่ปรากฏว่าได้มีการกร่วมมือกันกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญกล่าวคือ มีการสร้างภาพให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญที่เลวร้าย เพราะมาจากคณะรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ โดยมีมวลชนคนเสื้อแดงของพรรคการเมืองร่วมลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วย โดยไม่ปรากฏว่ามวลชนที่ร่วมลงชื่อนั้น ได้รับผลร้ายในการใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันอย่างใดและรัฐสภาได้รับไว้ โดยประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาจะต้องรู้ว่า ประชาชนไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลย การเข้าชื่อของประชาชนที่จะขอให้รัฐสภาพิจารณาได้นั้น จะทำได้ก็แต่เฉพาะให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดในหมวด ๓ ( เรื่องสิทธิและเสรีภาพ) และหมวด ๕ ( และนโยบายพื้นฐานของรัฐ) โดยต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ๑๖๓ เท่านั้น และหลังจากที่มีประชาชนเข้าชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้ว สมาชิกรัฐสภาโดยผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๓ และผู้ถูกร้องที่ ๒ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๑๒๖ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๔ , ๒๗๕ ก็ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ …..) พ.ศ….... ..เสนอต่อรัฐสภา และประธานรัฐสภาก็รับไว้เข้าวาระการประชุม ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ประชุมมีมติให้เสนอร่างรัฐธรรมนูญฯแก้ไขเพิ่มเติมเข้าสู่รัฐสภา ประธานรัฐสภาก็รับเข้าวาระการประชุมรัฐสภา อันเป็นการกระทำที่มีการร่วมกันวางแผนดำเนินการเป็นกระบวนการ แบ่งงานกันทำเป็นขั้นตอน อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการเป็นสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย และอาศัยอำนาจหน้าที่ในการเป็นคณะรัฐมนตรี ซึ่งทั้งรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำความผิดอาญาในข้อหาปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/ หรือปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีทางซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐

๔.๓ ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึง ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ผู้ถูกร้องที่ ๓๑๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๔๓ ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ รวม ๓๙๙ คน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๓๒๓ คน และเป็นวุฒิสมาชิก ๗๖ คน ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายคือ เมื่อระหว่างวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลา ๙.๓๐ นาฬิกา ต่อเนื่องกันมาถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลาประมาณ ๒๔.๐๐ นาฬิกา ประธานรัฐสภาได้มีหนังสือด่วนมากที่ สผ. ๐๐๑๔ / ร ๑๐ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ ) ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ ……) พ.ศ. ……โดยมีระเบียบวาระให้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ ……) พ.ศ.…….ทั้งสามร่างให้พิจารณาตามสำดับร่างรัฐธรรมนูญลำดับแรก โดยนายสุนัย จุลพงศ์ธร ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๓ เป็นผู้เสนอ ร่างรัฐธรรมนูญลำดับที่ ๒โดยนายภราดร ปริศนานันทกุล ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๑ กับผู้ถูกร้องที่ ๒ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๑๒๖ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๔ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ เป็นผู้เสนอ และร่างรัฐธรรมนูญลำดับที่ ๓ โดย พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ผู้ถูกร้องที่ ๒๙๘ โดยมติคณะรัฐมนตรี ( ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ ) เป็นผู้เสนอ

ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๙๙ คนที่ได้เข้าร่วมประชุมได้ทราบดีถึงสถานะของตนเองว่าเป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยและใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ในการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาศัยอำนาจในทางรัฐสภาเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ที่เลือกตั้งตนเองมาเท่านั้น แต่เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่เลือกตั้งตนเอง หรือไม่มีสิทธิเลือกตั้งก็ตาม อำนาจอธิปไตยที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนและจากผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ให้ทำหน้าที่ในรัฐสภานั้น จะใช้อำนาจเกินกว่าอำนาจอธิปไตยของประชาชนและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้ เมื่อประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย สมาชิกรัฐสภาก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายด้วย สมาชิกรัฐสภาที่ได้ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น ผลของการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นโมฆะ และไม่มีผลใช้บังคับได้ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายทั่วไป และการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นโมฆะนั้น สมาชิกรัฐสภาจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามเอกสิทธิโดยเด็ดขาดที่จะไม่ถูกร้องร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๐ ได้แต่อย่างใด เพราะเอกสิทธิโดยเด็ดขาดเป็นเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะคุ้มครองเฉพาะแต่การกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยไม่คุ้มครองการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นโมฆะ และไม่คุ้มครองความผิดอาญาในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึง ๒๖๐ ผู้ถูกร้องที่ ๒๖๒ ถึง ๒๗๓ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๙๕ ผู้ถูกร้องที่ ๓๑๑ ถึง ๔๑๖ ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายโดยในระหว่างวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวัน ผู้ถูกร้องดังกล่าวได้รู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในตัวบทของมาตรา ๒๙๑ ได้เลย แต่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆได้เป็นรายมาตรา โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ได้ เพราะมาตรา ๒๙๑ ได้นำมาบัญญัติไว้ในหมวด ๑๕ “ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆทุกมาตราตามมาตรา ๒๙๑ นั้น จะต้องมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖) แต่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖ ) ไม่ได้บัญญัติให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบได้แต่อย่างใด การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ จะต้องผ่านความเห็นชอบของมหาชนโดยต้องผ่านประชามติก่อนตามบริบทของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญหมวด ๑๕ มาตรา ๒๙๑ เป็นบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เป็นเครื่องมือตามรัฐธรรมนูญที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทุกมาตรา แต่ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราใดที่บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ จึงไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดที่จะใช้เป็นเครื่องมือให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ได้เลย การเพิ่มข้อความใหม่ในรัฐธรรมนูญ โดยเพิ่มเป็น “ หมวด ๑๖ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ” และเพิ่มมาตรา ๒๙๑/๑ ถึงมาตรา ๒๙๑ /๑๗ ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น จึงมิใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดที่จะนำมาเป็นเครื่องมือรองรับอำนาจการเพิ่มหมวด ๑๖ ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งกระทำโดยองค์กรอื่นได้เลย เมื่อไม่ปรากฏมีรัฐธรรมนูญมาตราใดมารองรับการเพิ่มเติมข้อความต่อจากมาตรา ๒๙๑ เป็นหมวด ๑๖ แต่ได้นำมาประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อที่จะให้มีการลงมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฯ ดังกล่าวทั้งสามฉบับ จึงเป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ลงมติให้ความเห็นชอบโดยไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดบัญญัติรองรับมติให้ความเห็นชอบดังกล่าวเลย การลงมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฯทั้งสามฉบับจึงเป็นการลงมติโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ , ๑๓๖ (๑๖ ) และบริบทของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ การใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนไทยโดยผู้ถูกร้องลงมติดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มติดังกล่าว จึงเป็นโมฆะและไม่มีผลบังคับใช้ การกระทำในลำดับหลังต่อมาย่อมเป็นโมฆะและไม่มีผลบังคับใช้ด้วย

การลงมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวของผู้ถูกร้อง เป็นการลงมติให้ความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ เพราะเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยรู้อยู่ว่าเป็นอำนาจที่จะมอบหมายให้ผู้ใดกระทำการแทนไม่ได้ ตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้บรรยายไว้ในร้องข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ การกระทำของผู้ถูกร้องในการลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีทางซึ่งมิได้เป็นตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐

๔.๔ ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ทั้งในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ก่อนเข้ารับตำแหน่งได้ปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่า “ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๓ และผู้ถูกร้องในฐานะคณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขว่า “จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๖

ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่ได้มีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่…..) พ.ศ……ต่อรัฐสภา เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้จัดทำ และหากร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำตกไปนั้น ก็ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจำนวนที่กำหนดไว้ มีสิทธิเสนอญัตติต่อรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภามีมติให้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้นั้น จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒ เพราะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการเสนอร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาก็ดี การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯก็ดี การลงมติร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวก็ดี จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๓ มาตรา ๑๗๖ และมาตรา ๑๒๒ ซึ่งเป็นโมฆะ และเมื่อใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยไปใช้ดำเนินการโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการกระทำความผิดอาญา ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองและผู้อื่น โดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยไปดำเนินการโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นโมฆะทั้งสิ้น

ข้อ ๕. ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และเป็นประธานรัฐสภา ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ทั้งในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธานรัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและดำเนินกิจการของรัฐสภา ในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นไปตามข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๙ และรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๕

ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ได้รู้ถึงอำนาจหน้าที่ของตน ตามที่ได้ปฏิญาณตนต่อที่ประชุมแห่งสภาว่า “ จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ” ตามมาตรา ๑๒๓

ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ จะต้องทราบถึงการใช้อำนาจทางนิติบัญญัติและในทางบริหารนั้น เป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่เป็นอำนาจส่วนตัวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของคณะรัฐมนตรี หรือของสมาชิกวุฒิสภาที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ได้ แต่จะต้องใช้อำนาจรัฐทางด้านนิติบัญญัติ และทางด้านบริหารให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รัฐสภาจะต้องรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ จะต้องทราบถึงการใช้สิทธิของสมาชิกรัฐสภา ทราบถึงการใช้อำนาจทางรัฐสภา ว่าจะใช้สิทธิทางรัฐสภาในเรื่องใดได้หรือไม่ และจะใช้สิทธิทางรัฐสภาได้เพียงใด รวมถึงต้องทราบว่า สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจที่จะใช้สิทธิทางรัฐสภาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้ในปัจจุบันได้เลย ตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้บรรยายตามคำร้องข้อ ๑ , ๒ , ๓ และข้อ ๔

ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ได้รู้แล้วว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ โดยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามนโยบายข้อ ๑.๑๖ ที่จะปฏิรูปการเมือง อันเป็นนโยบายที่ล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นนโยบายที่ขัดต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประธานรัฐสภาจะต้องทราบถึงหลักการปกครองในระบบรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาจะต้องคานอำนาจของคณะรัฐมนตรี โดยจะให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาไม่ได้ เพราะกลไกของสถาบันการทางเมือง ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารต้องมีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา ที่ต้องตรวจสอบและคานอำนาจซึ่งกันและกัน นโยบายของคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฝ่ายนิติบัญญัติจะดำเนินการตามนโยบายของฝ่ายบริหารที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ เมื่อสมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญฯเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ร่างรัฐธรรมนูญฯของคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภามีข้อความนัยเดียวกันและเหมือนกัน ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ จะรับร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะรัฐมนตรีเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภาไม่ได้ และจะใช้รัฐสภาดำเนินการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับไม่ได้เลย การที่ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖รับร่างรัฐธรรมนูญฯ ทั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและของคณะรัฐมนตรีไว้พิจารณา และได้ดำเนินการพิจารณาและดำเนินการให้สมาชิกรัฐสภาเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวทั้งสามฉบับ โดยมีมติรับร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามดังกล่าวในวาระแรก จึงเป็นการที่ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต เป็นการสมยอมกันในทางอำนาจ ไม่ตรวจสอบ คานอำนาจของฝ่ายบริหาร อันเป็นหน้าที่ที่ผู้ถูกร้องต้องกระทำตามอำนาจหน้าที่ในฐานะประธานรัฐสภา การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีทางที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐

ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ได้ทราบข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๕๓ ว่า ไม่มีข้อบังคับให้รัฐสภาประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ โดยให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯทั้งสามฉบับของรัฐสภาที่ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ดำเนินการไปนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามนัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ แต่เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำการนอกเหนือที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้อำนาจไว้ ดังนั้นจึงไม่มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภาฯที่จะดำเนินการตามข้อบังคับของรัฐสภาในกรณีนี้ได้ การประชุมและการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญด้งกล่าวที่ผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ได้เป็นประธานดำเนินการไปนั้น เป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและไม่มีข้อบังคับที่จะให้รัฐสภาดำเนินการประชุมได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ กรณีจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริตของผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖

ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในคดีนี้เป็นผู้เสียหายทั้งในทางรัฐธรรมนูญและทางอาญา ในการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๔๑๖ คน การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำของผู้ใช้อำนาจรัฐในทางนิติบัญญัติและในทางบริหาร ซึ่งไม่ทำหน้าที่ตามกลไกทางสถาบันทางการเมือง เพื่อให้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารมีดุลยภาพ และมีประสิทธิภาพตามวิถีทางปกครองแบบรัฐสภา และไม่ทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติกำหนดไว้ แต่ได้มีการสมยอมกันในทางอำนาจ อันเป็นการทุจริตคอรัปชั่นในทางอำนาจ โดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญเพื่อจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องการเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันนั้น จึงเป็นการกระทำที่เกิดความเสียหายแก่อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีอำนาจหน้าที่ มีสิทธิที่จะต่อต้านโดยสันติวิธี ในการกระทำของผู้ถูกร้อง อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๙ และผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ในบริบทของรัฐธรรมนูญที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ต้องมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงมีอำนาจหน้าที่ มีสิทธิและเสรีภาพที่จะใช้สิทธิทางศาลได้เมื่ออำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ถูกละเมิด โดยมีการนำเอาอำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปใช้โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีสิทธิที่จะปกป้องอำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยเช่นกัน

อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการเป็นอำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้มีการกระทำอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญได้กระทำการอันเป็นการสมยอมหรือฮั้วกันในการใช้อำนาจเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญและใช้สภาเพื่อรวบอำนาจเด็ดขาด โดยจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และรัฐสภาได้ผ่านวาระแรกไปแล้ว เป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่มีใครหรือหน่วยงานใดจะดำเนินการได้นอกจากจะใช้อำนาจของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่สามารถดำเนินการได้ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยสามารถใช้อำนาจของอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้โดยตรง โดยรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ใช้อำนาจอธิปไตยของ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้ทางศาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคสอง มาตรา ๔๐ และมาตรา ๖๘

ข้อ ๖. ผู้ถูกร้องที่ ๑ ผู้ถูกร้องที่ ๓ ถึง ๑๑๐ , ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ ถึง ๒๕๘ , ผู้ถูกร้องที่ ๒๖๐ ถึง ๒๖๒ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึง ๒๗๘ ผู้ถูกร้องที่ ๒๘๐ ถึง ๒๘๕ ผู้ถูกร้องที่ ๒๘๗ ถึง ๓๐๒ , ผู้ถูกร้องที่ ๓๐๔ ถึง ๓๑๐ และผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ ๒ , ผู้ถูกร้องที่ ๑๑๑ ถึง ๑๒๕ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ , ๒๗๙ , ๓๐๓ เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๖ เป็นสมาชิกพรรคมหาชน ผู้ถูกร้องที่ ๒๖๓ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๖๘ เป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนา ผู้ถูกร้องที่ ๒๖๙ ถึง ๒๗๓ และผู้ถูกร้องที่ ๒๘๖ เป็นสมาชิกพรรคพลังชล ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๔ เป็นสมาชิกพรรคมาตุภูมิ พรรคการเมืองดังกล่าวได้แสดงเจตนาที่จะร่วมกันเป็นฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ โดยไม่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน

นโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาจึงเป็นโยบายร่วมกันของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองนั้นๆ

ผู้ถูกร้องทั้งหมดไม่ว่าสังกัดพรรคที่ร่วมรัฐบาลหรือไม่ โดยเจตนารู้แล้วว่า นโยบายที่คณะรัฐมนรีแถลงต่อรัฐสภานั้น ขัดต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญในหมวด ๕ และไม่มีเจตนาที่จะปฏิบัติตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันดังกล่าว เพราะมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินในปีแรกในข้อ ๑.๑๖ โดยจะเร่งรัดและผลักดันปฏิรูปการเมืองโดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การมีเจตนาที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปีแรกก็มีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า คณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ. ๒๕๕๐

การแสดงเจตนาที่จะล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันในทันทีที่จะเข้ารับหน้าที่โดยแถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งถือว่าได้ประกาศต่อประชาชนทั้งประเทศว่า รัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติที่ร่วมเป็นรัฐบาล จะไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ แต่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นให้เสร็จภายในปีแรก จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักในการปกครองประเทศ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการกระทำของผู้ถูกร้องที่เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่…..) พ.ศ……. โดยคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและร่างรัฐธรรมนูญของคนเสื้อแดงซึ่งเป็นมวลชนของพรรคการเมือง พรรคเพื่อไทย เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ข้อ ๒ , ๓ , ๔ ที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น และผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ ก็ได้รับเรื่องนำเข้าวาระการประชุมโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นผลสำเร็จตามเจตนาของผู้ถูกร้อง และผู้ถูกร้องก็ได้ร่วมกันลงมติเห็นชอบให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฯทั้งสามฉบับในวาระแรกไปแล้ว ตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้กล่าวไว้ข้อ ๔.๑ , ๔.๒ , ๔.๓ , ๔.๔ และ ข้อ ๕

การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว เป็นการกระทำโดยเจตนาไม่ต้องการอยู่ภายใต้กฎหมายตามรัฐธรรมนูญ การกระทำการเป็นปรปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริทรงเป็นประมุข และได้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น ก็ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญคือ ไม่ยอมใช้อำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ ใช้เป็นหลักควบคุมกลไกหรือองคาพยพขององค์กรต่างๆซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย อาสาปวงชนชาวไทยเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความมั่นคงในราชอาณาจักรแล้ว แต่กลับมาใช้อำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากปวงชนชาวไทยและจากผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มาดำเนินการเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกร้องทั้งหมด จึงเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามสุภาษิตกฎหมายอันเป็นหลักกฎหมายสากลว่า “ ไม่มีความมั่นคงในราชอาณาจักรใด ยิ่งไปกว่าการที่ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ” (Nihil tam proprium est imperii quam legibus videre ) การกระทำของของผู้ถูกร้องมีเจตนาและมีการกระทำไม่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นการกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันละเมิดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ คือได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ และไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ การทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยคณะบุคคลที่ผู้ถูกร้องคิดขึ้นเองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ถูกร้องกำหนดขึ้น โดยการเสนอร่างรัฐธรรมนูญตามเอกสารท้ายร้องหมายเลข ๓-๕ การรับร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาพิจารณาในรัฐสภา การดำเนินการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญและลงมติเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญ โดยการกระทำที่ผิดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้ร้องไว้ในข้อ ๑ ถึง ข้อ ๕ การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเพื่อให้มีการดำเนินการทางรัฐสภา โดยใช้เสียงข้างมากในรัฐสภานั้นเป็นการกระทำที่ผู้ถูกร้องได้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่ผู้ถูกร้องได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ ไปดำเนินการทางรัฐสภาดังกล่าว การใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาเพื่อสนองความต้องการของผู้ถูกร้องเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกร้องและพวกพ้องของผู้ถูกร้อง โดยไม่รับฟังเสียงของประชาชนหรือแกล้งโง่กับเสียงเรียกร้องของประชาชน ทั้งๆที่การใช้เสียงในรัฐสภานั้น เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทย จึงเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทย เพราะการที่ผู้ถูกร้องได้รับการเลือกตั้งให้ทำหน้าที่ในรัฐสภานั้น เป็นการที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยได้ให้เกียรติมอบหมายให้ผู้ถูกร้องไปทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทยทั้งมวล ด้วยความไว้วางใจในระบอบประชาธิปไตย โดยผู้ถูกร้องต้องปฏิบัติหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ทำหน้าที่ที่
ปวงชนชาวไทยให้เกียรติมอบหมายไว้วางใจในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันใช้ระบบเผด็จการทางรัฐสภาโดยเสียงข้างมากมาดำเนินการในทางรัฐสภาเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องต้องรู้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น มิใช่เป็นการปกครองโดยเสียงข้างมากแต่เพียงอย่างเดียว แต่ระบอบประชาธิปไตย ( Democracy) ได้มีวิวัฒนาการมานานจนมีหลักในทางปรัชญาที่สามัญชนที่ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจทางการเมือง จะต้องรู้ข้อเท็จจริงว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นมีองค์ประกอบ คือ ( ๑) การปกครองที่ประชาชนมีอำนาจการปกครอง หากไม่โดยตรงก็โดยตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้ง หรือการปกครองโดยชนชั้นถูกปกครอง ( ๒ ) การปกครองโดยเสียงข้างมาก ( ๓) หลักของสมภาพในสิทธิ ,โอกาส , และการรักษาพยาบาล ( ๔) สามัญชนเป็นผู้ใช้อำนาจในทางการเมือง

การที่ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันออกเสียงเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา แล้วอ้างว่าทุกคนต้องฟังเสียงข้างมากในสภา เพราะเป็นประชาธิปไตย เป็นการที่ผู้ถูกร้องบังคับให้ปวงชนชาวไทยทุกคนต้องผูกขาดฟังเสียงของพวกผู้ถูกร้องเท่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องจึงไม่ใช่เป็นไปตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องในระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่ครบองค์ประกอบ ๔ ประการของคำว่า “ ประชาธิปไตย ” จึงจะใช้เสียงข้างมากมาตัดสินได้ การใช้เสียงข้างมากแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เป็นระบอบประชาธิปไตย และการใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาเพียงอย่างเดียวไม่อาจคุ้มครองการกระทำความผิดอาญาที่มีเจตนาร่วมกันเป็นหมู่ หาได้ไม่

ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และผู้ถูกร้องต่างเป็นสามัญชนในความหมายทางปรัชญาของคำว่า “ ประชาธิปไตย ” ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้ถูกร้องและปวงชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ และเป็นผู้ใช้อำนาจในทางการเมือง ตามหลักปรัชญาของคำว่า “ ประชาธิปไตย” ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มาทำหน้าที่ในทางการเมืองและใช้อำนาจในทางการเมือง ผู้ถูกร้องจึงเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการเป็นผู้ใช้อำนาจในทางการเมืองแทนผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้ถูกร้องไม่ได้ทำหน้าที่ในทางปกครองทั้งในทางนิติบัญญัติและทางบริหารแทนผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยเท่านั้น แต่ผู้ถูกร้องทำหน้าที่ในการใช้อำนาจในทางการเมืองแทนผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย โดยได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขด้วย

การออกเสียงโดยเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา เพื่อให้ทุกคนรวมทั้งปวงชนชาวไทยและผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ต้องยอมรับฟังเสียงส่วนใหญ่นั้น เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน(the best interest of the public) และเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภานั้น ต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ตรงกับจุดประสงค์ ( Objective) ของปวงชนชาวไทยรวมทั้งผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในขณะที่มีการออกเสียงในรัฐสภา เพราะจุดประสงค์ในการขณะที่มีการเลือกตั้งกับจุดประสงค์ในขณะที่มีการออกเสียงในรัฐสภา อาจเป็นจุดประสงค์ที่แตกต่างกันหรือไม่เหมือนกัน การนำเอาจำนวนผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งมาใช้เป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ โดยสมคบคิดร่วมกันออกเสียง โดยไม่คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้มีการออกเสียงนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่แล้ว การออกเสียงลงมติดังกล่าวก็เป็นการใช้อำนาจในทางการเมืองโดยขัดต่อหลักนิติธรรม ขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในทางการเมืองที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นการใช้อำนาจในทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ , ๔ , ๒๖ , ๒๗ , ๒๘ และการออกเสียงลงมติดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการออกเสียงตามหลักปรัชญาของประชาธิปไตย ที่ผู้ถูกร้องจะนำมากล่าวอ้างว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่จะบังคับให้ปวงชนชาวไทยหรือผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ รับฟังในผลของการออกเสียงของพวกผู้ถูกร้องหาได้ไม่

๖.๑ จำเดิมเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ ผู้ถูกร้องที่ ๒๒๙ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้กระทำการเคลื่อนไหวเป็นแกนนำพีทีวีนำมวลชนมาชุมนุมที่ท้องสนามหลวง โดยจะชุมนุมไปถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐ เพื่อขับไล่ คมช. และระบอบเผด็จการให้ออกไปจากประเทศ โดยผู้ถูกร้องกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาของการสะสมกำลังมวลชนและประชาชน เพื่อให้ได้จำนวนประชาชนที่มากที่สุดที่จะใช้ต่อสู่กับระบอบเผด็จการ โดยใช้ชื่อว่า “ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” หรือ นปช. โดยเห็นว่าปัญหาทุกอย่างเกิดจากคมช. หากคมช.หลุดพ้นออกไปได้ หน่วยงานและองค์กรต่างๆที่เกิดจากคมช.ก็จะต้องหลุดตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นครม. คมช. , คตส. และจะร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้นด้วย ต่อมากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ ( นปก.) มีผู้ชุมนุมมากขึ้น ได้มีการจัดตั้ง ๗ ตัวแทนเพื่อตัดสินใจเคลื่อนไหว โดยมีผู้ถูกร้องที่ ๒๐๘ และ ๓๓๕ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายวีระ มุกสิกพงศ์ และบุคคลอื่นอีกรวม ๗ คน เป็นแกนนำร่วมตัดสินใจ และได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น “ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ “ นปช.” โดยนัดให้ผู้ชุมนุมสวมเสื้อแดงมารวมตัวกันที่สนามหลวงได้มีการประกาศรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ และได้มีการชุมนุมต่อเนื่องกดดันรัฐบาลจนรัฐบาลในขณะนั้นได้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง

เมื่อรัฐบาลได้ยุบสภาและประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ปรากฏว่าสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งจำนวนมากที่สุด จึงเป็นแกนนำจัดตั้ง “ รัฐบาล” เมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้วความจำเป็นในการขับไล่เผด็จการก็หมดสิ้นไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกผู้ถูกร้องซึ่งมีอำนาจทั้งนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร จะต้องใช้แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. หรือ กองกำลังคนเสื้อแดงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏว่า ได้มีการสนับสนุน ส่งเสริมให้มีการกระทำจัดตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง มีการใช้กำกำลังคนเสื้อแดงคอยเข้าด้วยช่วยเหลือประชาชน หรือนักวิชาการที่มีความเห็นในทางเดียวกันกับความคิดเห็นของพวกผู้ถูกร้องและของรัฐบาล และกองกำลังคนเสื้อแดงจะเข้าขัดขวางหรือสำแดงพลังกับกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกผู้ถูกร้อง และได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว การกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช. จึงเป็นพฤติการณ์ของการกระทำที่อยู่ในอาณัติของผู้ถูกร้อง เพราะเป็นการจัดกระทำหรือมีการชักใยอยู่เบื้องหลัง ( Mami Pulation ) ซึ่งก็ได้มีการประกาศว่าจะดำเนินการให้มีหมู่บ้านคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ภรรยาผู้ถูกร้องที่ ๓๓๕ ได้ร่วมแถลงท่าทีของนปช.ร่วมกับรองประธานนปช. และโฆษกนปช. โดยกำหนดแนวทางในการต่อสู้เรื่องรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ที่มาจากการปฏิวัติ โดยนปช.จะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยจะให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน จะเรียกร้องให้ผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจาก สสร. ๑๐๐ คน จากการเลือกตั้งทั้งหมด จะไม่คัดมาจากวิธีพิเศษโดยจะร่วมกันลงชื่อ ๒ แสนคนขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ผู้ถูกร้องที่ ๒๒๙ ได้แสดงเจตนาต่อสาธารณชนที่จังหวัดกระบี่ว่า รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เสร็จแล้วจะทำการเลือกสสร. หลังจากนั้นก็จะเร่งลงประชามติโดยจะไปถามประชาชนว่าจะรับหรือไม่รับ ซึ่งจะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด สิ่งนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของคนเสื้อแดง ผู้ถูกร้องที่ ๒๒๙ ยังได้กล่าวยืนยันว่า แม้ผู้ถูกร้องจะได้อยู่ในสภาหรือนอกสภาภารกิจก็ไม่ต่างกัน แต่ภาระหน้าที่ของเราคือ การประคับประคองรัฐบาลให้อยู่จนครบเทอม………… เพราะรัฐบาลนี้มีคนเสื้อแดงหนุนหลังและเป็นกองกำลังเดียวที่มีความแข็งแรงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หากว่าไม่มีคนเสื้อแดงรัฐบาลนี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว

ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หลังจากที่ผู้ถูกร้องที่ ๒๓๓ ประธานวิปรัฐบาลพร้อมด้วยสส.พรรคร่วมรัฐบาลได้นำรายชื่อสส. ๒๗๕ คน ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ต่อผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ แล้ว ในตอนบ่ายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาตินำโดยนางธิดา ถาวรเศรษฐ พร้อมด้วย สส.ที่เป็นแกนนำ นปช.คือ ผู้ถูกร้องที่ ๓๓๕ ผู้ถูกร้องที่ ๑๘๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๒๕ ได้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ฉบับของนปช.แนบรายชื่อประชาชนสนับสนุน ๖ หมื่นคน ยื่นต่อผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ โดยผู้ถูกร้องที่ ๓๓๕ ได้แสดงออกโดยกล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของนปช.มีความก้าวหน้ากว่าของพรรคเพื่อไทย เพราะสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งสสร.ทั้ง ๑๐๐ คนจากประชาชน แต่ของพรรคเพื่อไทยมีรายชื่อตัวแทนจากฝ่ายต่างๆถึง ๒๒ คน ซึ่งอาจจะเปิดทางให้กลุ่มจารีตนิยมเข้ามาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมาก เราต้องการให้รัฐธรรมนูญใหม่เป็นประชาธิปไตย ร่างโดยประชาชนเพื่อประชาชน และต้องการให้อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการยึดโยงกับประชาชนทั้งหมด คาดว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำประชามติแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า การกระทำโดยแสดงออกของผู้ถูกร้องที่ ๓๓๕ เป็นการแยกประชาชนที่มีความคิดเห็นในทางอนุรักษ์นิยม หรือจารีตนิยมว่าไม่ใช่เป็นประชาชน และไม่มีสิทธิเข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ จึงเป็นการกระทำที่แบ่งแยกประชาชนที่มีความคิดเห็นต่างกันออกจากกัน โดยเห็นว่าคนที่มีความคิดเห็นต่างไม่ใช่เป็นประธานที่มีสิทธิมีเสียงในประเทศไทยได้

การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๒๐๘ , ๓๓๕ , ๒๒๙ , ๑๘๗ และที่ ๒๒๕ ได้กระทำกิจการร่วมกับคนเสื้อแดง ปรากฏต่อสาธารณะแสดงว่า กลุ่มนปช. หรือคนเสื้อแดงเป็นกองกำลังของพรรคการเมือง พรรคเพื่อไทย ในการดำเนินการอันเป็นส่วนของแผนการเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ล้มล้างอำนาจตุลาการ เพราะปัจจุบันอำนาจตุลาการไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง หรือจากตัวแทนที่ได้รับการเลือกตั้ง แต่เป็นอำนาจตุลาการที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทางศาลตามนิติโบราณราชประเพณี การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจตุลาการตามนิติโบราณราชประเพณีเป็นอำนาจตุลาการที่มาจากบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในทางวิชาชีพ ในระบบคุณธรรมไปเป็นอำนาจตุลาการที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงก็ดี การเปลี่ยนแปลงอำนาจตุลาการโดยให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกตั้ง แต่งตั้งตุลาการได้ก็ดี ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในสาระสำคัญของอำนาจตุลาการที่ตุลาการจะสามารถให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนหรือไม่ ตุลาการมีความเป็นอิสระในการอำนวยความยุติธรรมได้หรือไม่ก็จะต้องทำประชามิติก่อนที่จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา เพราะมิฉะนั้นความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นในสังคมอย่างรุนแรง และไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ ( Peaceful Coexistence ) การกระทำของผู้ถูกร้องที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือ เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญโดยใช้อำนาจทางรัฐสภา ซึ่งมี” กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ นปช. ร่วมกันดำเนินการ เพื่อให้การล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเป็นผลสำเร็จนั้น การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกร้องจึงเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร

การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำความผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอาญา อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต และเป็นการกระทำซึ่งมีผลต่อสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์รีในความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทยทุกคนและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตลอดจนความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐภายในราชอาณาจักร มีการร่วมกันกระทำความผิดเป็นกระบวนการ

ผู้ร้องที่ ๑ กับพวกได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดขอให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและขอยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งให้สมาชิกรัฐสภาเลิกพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งสามฉบับ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ แล้ว รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๘ ผู้ร้องที่ ๑ กับพวกได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับสมาชิกรัฐสภา ในกรณีปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๙ และผู้ร้องที่ ๑ กับพวกได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ดำเนินการยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้แล้ว รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑๐

ต่อมาเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ สำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงว่าได้ตรวจสอบคำร้องของคณะบุคคลทั้ง ๖ รายรวมทั้งของผู้ร้องที่ ๑ กับพวกที่ได้ยื่นคำร้องไว้แล้วว่า " ดังนั้นการที่คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองหลายพรรคเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามมาตรา ๒๙๑ จึงไม่มีเนื้อหาเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กรณีตามคำร้องของผู้ร้องทั้งหกข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่ามีพฤติการณ์หรือการกระทำอันเป็นเหตุให้อัยการสูงสุดต้องยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกกระทำการตามความในมาตรา ๖๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ " ดังนั้นผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ จึงเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ จึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖๘ และ ๒๑๒

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอให้พิจารณาวินิจฉัย

ขอให้พิจารณาวินิจฉัยดังนี้

๑. การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๔๑๖ คน ที่ได้จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีผลทำให้เป็นการยกเลิก
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดย
วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

๒.ขอให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๔๑๖ คนให้เลิกกระทำการดังกล่าว

ข้าพเจ้าได้ยื่นคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัย พร้อมสำเนาคำร้องและเอกสารประกอบโดยข้อความ
ถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันอีก ๙ ชุด

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๑
(พลตรีจำลอง ศรีเมือง)

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๒
( นายสนธิ ลิ้มทองกุล )

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๓
( นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ )

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๔
(นายพิภพ ธงไชย)

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๕
(นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์)

(ลงชื่อ) ผู้ร้องที่ ๖
( นายสุวัตร อภัยภักดิ์ )
กำลังโหลดความคิดเห็น