อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 โผล่หัวอ้าปากบิดเบือน อ้างหากสภาฯ ยอมชะลอแก้ไขร่าง รธน.ตามคำสั่งศาลจะกลายเป็นบรรทัดฐานต่อระบบรัฐสภาที่จะขึ้นต่อศาล รธน. ยุสภาฯ ดื้อโหวตผ่าน รธน.วาระ 3 หวังสะกดอำนาจศาล กุข่าวปล่อยศาลคว่ำทิ้งเกิดวิกฤตการเมือง มีพวกยื่น ม.7 แน่
วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่โรงแรมสยามซิตี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ในฐานะประธานสถาบันการศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ภายหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติวาระ 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าขณะนี้สังคมไทยอยู่ระหว่างทางสองแพร่ง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้าต่อไปมีการลงมติวาระ 3 เลือกตั้ง ส.ส.ร. และมีการลงประชามติ ส่งผลให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทำให้แก้ไขวิกฤติพื้นฐานประเทศได้ ส่วนอีกทางหนึ่งคือการล้มรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องและวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้ยุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะส่งผลให้เราย่ำอยู่กับที่ และจะเกิดสุญญากาศทางการเมือง โดยอาจทำให้มีผู้เสนอมาตรา 7 ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญดึงดันบิดเบือนในการที่จะขัดรัฐธรรมนูญมากขึ้น และหากมีการชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการปฏิบัติตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานที่เสียหายร้ายแรงต่อระบบรัฐสภา จะส่งผลให้ระบบรัฐสภาขึ้นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศต้องตัดสินใจ สมาชิกรัฐสภาต้องร่วมกันตัดสินใจในการหาทางออก แต่ตนเห็นว่ารัฐสภาควรที่จะเดินหน้าต่อไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความจำเป็นที่รัฐสภาจะต้องเดินหน้า ถ้าหากการประชุมสภาฯในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ กลับไปพิจารณาเรื่องอื่นก่อนที่จะลงมติวาระ 3 นั้น แสดงว่ารัฐสภาได้ชะลอการลงมติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานของรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามตนเห็นว่ากระบวนการรัฐสภาจะขึ้นอยู่ว้าจะพร้อมใจในการเดินหน้าหรือไม่ หากสมาชิกรัฐสภาลงมติว่าคำสั่งของศาลไม่ผูกพันนั้นก็สามารถเดินหน้าลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ได้แน่นอน