ผ่าประเด็นร้อน
ต้องเรียกว่า “หน้ามืด” จริงๆ สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ เพราะหลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองจอมปลอมถูกรุมขัดขวางทั้งในและนอกสภาอย่างดุเดือดเข้มข้น จนสภาไม่อาจเรียกประชุม ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมาลงมติรับหลักการในวาระแรก หรือ 3 วาระรวดได้เลยทำให้ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นั่นก็หมายความว่า ขบวนการตบตาปรองดองเพื่อล้างความผิดให้คนโกง คนที่ถูกศาลตัดสินความผิด ที่สำคัญมีเป้าหมายเพื่อ “ล้างความผิด” ให้ “ทักษิณ” ก็ต้องสะดุดลง และเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากมีกระแสต่อต้านที่ผนึกกำลังกันของสังคมอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องที่เคยคิดฝันเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะกลับบ้านอย่างเท่ ก็ต้องเลื่อนออกไป และยังไม่อาจกำหนดได้ชัดเจนเหมือนกับที่เคยพูดก่อนหน้านี้ว่า น่าจะกลับมาในราวปลายปี
แต่ล่าสุดเหมือนกับมีทุกข์ซ้ำกรรมซัด ประดังเข้ามาเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงก็คือ ฝ่ายทักษิณมีเจตนามิชอบ ต้องการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำให้รัฐสภาต้องเลื่อนการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ที่มีกำหนดนัดหมายกันก่อนหน้านี้ในวันที่ 5 มิถุนายน ออกไปไม่มีกำหนด
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ที่คาดว่าเริ่มผ่อนคลายลง กลับพลิกเป็นตรงกันข้าม เริ่มตึงเครียดกว่าเดิม เมื่อฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณไปถึงสภาให้เดินหน้าต่อ ไม่สนใจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
สั่งให้มีการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 12 มิถุนายน โดยอ้างว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลผูกพันสภา ขณะเดียวกัน ด้านนอกสภา ก็ไฟเขียวให้คนเสื้อแดงลงชื่อยื่นถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อเห็บแบบนี้บรรยากาศก็กลับมาเดือดปุดอีกรอบ และที่สำคัญก็คือ ในมติของศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องเหมือนกับให้ “คุ้มครองชั่วคราว” นั่นคือ ระหว่างนี้ก็ให้ทั้งสองฝ่ายส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจง โดยเฉพาะฝ่ายเสนอขอแก้ไขทั้งฉบับได้ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาฉีกรัฐธรรมนูญ และไม่ได้มีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขดังกล่าว โดยศาลฯ ได้นัดหมายไต่สวนทั้งสองฝ่าย วันที่ 5 กรกฎาคมเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ดี การสั่งเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 วันที่ 12 มิถุนายน ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเจตนาท้าทายศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ทำราวกับว่ามีเสียงข้างมากในสภาและมีอำนาจรัฐ ในฐานะรัฐบาลอยู่ในมือ อ้างอย่างเดียวว่ามาจากประชาชน จากการเลือกตั้งสามารถทำอะไรก็ได้
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีเจตนาท้าทายความรู้สึกของสังคมทั่วไปที่จ้องมองอยู่ ว่าทำไมถึงได้เร่งด่วนขนาดที่รอไม่ได้สักนาทีเดียว และถ้าช้าไปสักระยะหนึ่ง มันจะมีผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างนั้นหรือ
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากคำพูดของ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ชี้แจงว่า การรับคำร้อง และมีการไต่สวนดังกล่าวก็เพื่อต้องการลดความตึงเครียด และลดความหวาดระแวงของสังคมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะไม่มีเจตนาฉีกรัฐธรรมนูญ และล้มล้างการปกครองฯ เหมือนกับการทำสัญญาประชาคมเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อเคลียร์แล้ว ก็สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสบายใจกับทุกฝ่าย
แต่การที่ประธานรัฐสภา โดยสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สั่งให้มีการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติโหวต แก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ในวันที่ 12 มิถุนายนนี้ มันก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกเหนือจากการท้าทายศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายความรู้สึกของสังคม ที่สำคัญก็คือ มีเจตนาที่จะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อย่างไม่มีข้อสงสัย
เพราะนอกจากยังดึงดันเดินหน้าแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวให้มีการยื่นถอดถอนตุลาการเสียอีก เมื่อเป็นอย่างที่เห็น มันรับรองว่าเมื่อหลับตาก็มองเห็นความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า และคราวนี้กระแสต่อต้านจะเริ่มหนักหน่วง และเชื่อว่านอกจากจะเกิดขึ้นที่หน้ารัฐสภาแล้วยังลุกลามไปยังรัฐบาล ไปยังนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากชาวบ้านรับรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นเครือข่ายเดียวกัน คือ เครือข่ายทักษิณ
แน่นอนว่าอาการอย่างนี้สำหรับทักษิณ เรียกได้ว่าเป็นอาการหน้ามืด เหมือนกับว่ารอไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะถ้าปล่อยไว้นาน สิ่งที่ลงทุนเอาไว้จะล้มเหลวสูญเปล่า ปัจจัยสำคัญที่สุดยังอยู่ที่ความล้มเหลวของรัฐบาล ที่ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับชาวบ้าน แม้แต่พวกเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวที่แหละ ที่เป็นตัวเร่งให้เขาต้องเสี่ยง
แต่บางครั้งยิ่งเร่งมันก็ยิ่งพลาด โอกาสหายนะมันก็มีสูงตามไปด้วย
เหมือนกับการไม่ฟังศาลรัฐธรรมนูญ มันก็เหมือนกับมีเจตนาซ่อนเร้น สร้างความเคลือบแคลงให้สังคมเพิ่มขึ้น จนมองเห็นร่วมกันว่า คนๆนี้วันทั้งวันมีแต่เรื่องกำไร เห็นแก่ตัว มีรัฐบาลและสภาก็คิดแต่จะให้ช่วยเหลือ หาผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่ร่ำไป เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ในกรณีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองจอมปลอม มาคราวนี้ก็ดึงดันลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 โดยไม่ฟังคำทักท้วง
เชื่อว่าในที่สุดทั้งสองประเด็น ก็รวมเป็นเรื่องเดียวกันที่สังคมจะรวมพลังกันต่อต้านจนถึงที่สุด และโอกาสที่ทักษิณจะกลับบ้านอย่างเท่ ก็ยิ่งห่างไกล!!