“เทพไท” ชี้ พท.ดิ้นถอดถอนตุลาการ รธน. เหตุกลัวตายยกเข่งหากผลชี้ขาดร่างแก้ไข รธน.ขัด รธน. ปลุกผีเสื้อแดงกดดัน จี้ต่อมสำนึก “แม้ว” ไม่มีสัจจะ ลืมสัญญาโฟนอินครั้งสุดท้าย อัด ส.ว.อุตรดิตถ์ แส่กิจการภายในสภาล่าง ตะเพิดไปตรวจสอบความเป็นกลางของ ส.ว.จะดีกว่า
วันนี้ (3 มิ.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าว่า ไม่เข้าใจว่าแกนนำคนเสื้อแดงทำไมจึงไม่เคารพการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ เคยมีหลายครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยที่เป็นคุณต่อรัฐบาลพรรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเหล่านี้ก็ออกมาแสดงความชื่นชม และยินดี และขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป แต่พอวันนี้ เมื่อคำวินิจฉัยออกมาไม่พอใจกลับตีโพยตีพายเล่นงานดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นการขัดขวางสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องการ เชื่อว่ากรณีนี้พรรคเพื่อไทยอาจจะเกิดอาการวิตกจริตว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ ม.291 ไม่สามารถกระทำได้ ก็จะทำให้มีผลที่ติดตามมาก็คือ จะต้องยุบพรรคการเมืองที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวหลายพรรค และส.ส. ที่ลงชื่อหลายร้อยคน รวมถึงมติ ครม.ที่เสนอร่างแก้ไขด้วย ก็จะมีความผิดถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี จึงอาจจะเกิดปรากฎการณ์ตายยกเข่งขึ้นมาของนักการเมืองอีกระลอกหนึ่ง จึงจำเป็นต้องใช้มวลชนคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวกดดันศาลแต่เนิ่นๆ
ส่วนการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินที่เวทีความจริงวันนี้นั้น ตนไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังจำคำพูดของตัวเองได้หรือไม่ เพราะวันที่โฟนอินมายังเวทีสี่แยกราชประสงค์ ก็ได้ประกาศว่าจะเป็นการโฟนอินครั้งสุดท้าย แต่ในที่สุดก็กลับมาโฟนอินอีก แสดงให้เห็นว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีสัจจะวาจา ไม่สามารถเชื่อถือคำพูดใดๆ ได้อีกต่อไป การออกมาโฟนอินปลุกระดมคนเสื้อแดงอีกครั้งหนึ่ง และพยายามพาดพิงถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยยกสองมาตราฐานขึ้นมากล่าวหาอีก และพยายามพาดพิงถึงกลุ่มอำมาตย์ว่าอยู่เบื้องหลังคำวินิจฉัยศาล รธน.ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า คำประกาศของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประเทศกัมพูชาช่วงสงกรานต์ที่ฝากกราบรดน้ำดำหัวอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูนานนท์ ประธานองคมนตรี และอ้างว่าให้ความเคารพนับถือไม่เสื่อมคลายล้วนแล้วแต่เป็นลมปากทางการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีความจริงใจในการปรองดองแต่อย่างใด
นายเทพไทกล่าวว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดถึงเรื่องทรัพย์สินของตัวเองนั้นก็แสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองว่า การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองเป็นข้ออ้างบังหน้า ทั้งๆ ที่ความจริงก็ต้องการที่จะเอาทรัพย์สินคืนจำนวน 46,730 ล้านบาทกลับมาเป็นของตนเองอีก ดังนั้น การประกาศว่าจะขอกลับมาประเทศโดยไม่เกี่ยวข้องกับการขอคืนทรัพย์สิน และเล่นการเมืองอีกเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้
นายเทพไท ยังกล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.บางคนเคลื่อนไหวจะยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบสวนพฤตกรม ส.ส.บางคนที่ทำลายภาพลักษณ์ของสภา ว่า ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในที่ประชุมสภาถ้าหากมีเหตุการกระทำผิดใดๆ ก็เป็นเรื่องที่สมาชิกสภาฯ จะจัดการกันเองได้ ไม่มีใครรู้เหตุการณ์ดีไปกว่าคนที่อยู่ภายในเหตุกาณ์ภายในห้องประชุมวันนั้น สมาชกวุฒิสภาได้รับทราบข้อมูลมากน้อยเพียงใด จึงคิดจะมาวุ่นวายกิจการภายในสภาผู้แทนฯ
“ถ้าคิดจะช่วย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็ควรเปลี่ยนสถานะจากวุฒิสภาที่เป็นผู้มีอิสระไปสังกัดพรรคการเมืองเสีย การตรวจสอบ ส.ส.สามารถกระทำได้ แต่เหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ควรไปตรวจสอบผู้ทำหน้าประธานในที่ประชุมด้วย เพื่อให้เกิดความป็นธรรม และแสดงให้เห็นว่า สมาชิกวุฒิสภามีความเป็นกลางก็ควรจะให้ข้อมูลข่าวสารทั้งสองด้าน ไม่ใช่เฉพาะจงจงให้สมาชิกอีกฝ่ายค้านเสื่อมเสีย และเชื่อว่า ภายในสภาก็มี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลบางคนออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว สมาชิกวุฒิสภาควรจะไปตรวจสอบดูแลกิจการภายในสภาของตัวเองจะดีกว่า” นายเทพไทกล่าว