xs
xsm
sm
md
lg

“องอาจ” จี้รัฐปิดประชุมสภา วอนจัดสานเสวนาก่อนดันปรองดอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
ประธาน ส.ส.กทม.ปชป.จี้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.ปิดประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติ ซัดดันกฏหมายปรองดองยิ่งทำแตกแยก หวั่นฝั่งรัฐลักไก่ยื่นเสียบอีก วอนเห็นแก่ความสงบสุข แนะจัดเวทีสานเสวนาก่อน ขอ “ยิ่งลักษณ์” บอกคนอยู่นอกประเทศยุติสร้างวิกฤตสู่สงครามกลางเมือง


วันนี้ (3 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาออกพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งเดิมต้องปิดตั้งแต่เดือนเมษายน แต่รัฐบาลขยายเวลาโดยไม่มีกำหนด เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้งๆ ที่กฎหมายทั้งสองฉบับ หากรัฐบาลไม่มีเจตนาเร่งรีบรวบรัดก็สามารถรอการเปิดประชุมสมัยถัดไปได้ โดยเฉพาะเมื่อกฎหมายปรองดองเข้าสภาแทนที่จะสร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยกในสังคมมากขึ้น มีการคัดค้านอย่างเต็มที่ของพรรคประชาธิปัตย์

เนื่องจากประธานรัฐสภาทำหน้าที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม พยายามหักดิบนำร่างกฎหมายเข้าสู่สภาทุกวิถีทาง ตนจึงเห็นว่า ถ้ายังขยายสมัยประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนดก็ไม่มีความชัดเจนว่า จะมีการลักไก่นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภาอีกเมื่อไหร่ ซึ่งหากทำอีกก็จะมีความแตกแยกจนอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ ถ้ารัฐบาลเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองขอให้ออกพระราชกฤษฎีกาภายในวันอังคารนี้ หรืออังคารหน้า

นายองอาจกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะเสนอร่างกฎหมายนี้เข้าสภานั้น ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจต่อการเสนอกฎหมายก็อยากให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกรรมาธิการวิสามัญปรองดองฯที่มี พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นประธาน นำรายงานที่บิดเบี้ยวไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของงานวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ด้วยการจัดเวทีสานเสวนาแทนการใช้เสียงข้างมากเป็นตัวกำหนด ความสำเร็จของการปรองดองต้องเกิดจากความเห็นพ้องต้องกันของสภาและประชาชน อีกทั้งในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 56 ก็มีการตั้งงบประมาณกว่า 400 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ พล.อ.สนธิกลับเสนอกฎหมายเข้าสภา โดยไม่สนใจรายงานของกรรมาธิการฯที่ตัวเองเป็นประธานฯ

ดังนั้น หากรัฐบาลมีความจริงใจอยากเห็นความปรองดองควรใช้เวลานับจากนี้ไปในการดำเนินการสานเสวนาปรองดองให้เกิดความเห็นพ้องมากขึ้น ตนเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีของสังคมมากกว่าดันทุรังยัดเยียดเรื่องนี้เข้าสู่การประชุมสภา ผลักดันเป็นกฎหมายใช้บังคับโดยเร็ว ทั้งนี้ มีความเป็นห่วงว่าหากรัฐบาลยังไม่หยุดอาจเกิดสงครามกลางเมืองในกรุงเทพมหานคร เพราะอาจมีการนำมวลชนสองกลุ่มมาเผชิญหน้าจนเกิดการปะทะกัน เหตุผลที่ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง ต้นตอมาจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันที่จะได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสามารถพูดกับคนที่สนิทมากที่สุดในชีวิตที่อยู่ในต่างประเทศให้ยุติการดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นต้นตอของวิกฤตประเทศจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองในกรุงเทพมหานคร และอาจจะเกิดในส่วนอื่นๆ ของประเทศไทยด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น