xs
xsm
sm
md
lg

โพลชี้ พ.ร.บ.ปรองดอง ไม่ทำให้เกิดความปรองดองได้จริง

เผยแพร่:

“สวนดุสิตโพล” สำรวจความเห็นประชนชนพบส่วนใหญ่กว่า 50% เชื่อ พ.ร.บ.ปรองดองไม่สามารถทำให้เกิดความปรองดองได้จริง ขณะเดียวกันยังเห็นว่ารัฐบาลพยายามช่วยพวกพ้องตัวเองโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศชาติ ส่วนฝ่ายค้านไม่รับฟังความเห็นคนอื่น เรียกร้องทุกฝ่ายเห็นผลประโยชน์ประเทศ

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนถึงการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ซึ่งได้เกิดปัญหาความวุ่นวายระหว่างที่มีการประชุมจนเป็นกระแสการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ทั้งของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และประธานสภา และมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทย

โดยความคิดเห็นของประชาชนต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และประธานสภา ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ พบว่า หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล อันดับ 1 พยายามที่จะหาทางออกให้กับพรรคพวกของตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง 46.38%, อันดับ 2 ได้ทำหน้าที่ของตนเองในการผลักดันให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างเร่งรีบ 33.33% และอันดับ 3 รักพวกพ้องมากเกินไป หลงกับอำนาจในเสียงข้างมาก 20.29

ส่วนหน้าที่ของฝ่ายค้าน อันดับ 1 ใช้วาจา และพฤติกรรมที่รุนแรง ใช้อารมณ์ โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 41.90%, อันดับ 2 มีความพยายามในการทำหน้าที่ของตนเอง และตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐบาล 39.52% และอันดับ 3 ไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง 18.58%

ขณะที่หน้าที่ของประธานสภา อันดับ 1 ไม่มีความเด็ดขาด สุภาพเกินไป ไม่สามารถควบคุม ส.ส.ในสภาได้ 39.95%, อันดับ 2 ไม่มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง 33.58% และอันดับ 3 มีความพยายามในการทำหน้าที่ของประธานอย่างเต็มที่แล้ว 26.47%

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาไทยหรือไม่ พบว่า อันดับ 1 มีผลกระทบ 77.34% เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทำให้เห็นถึงความแตกแยกมากกว่าการปรองดองมีผลต่อความเชื่อมั่นทั้งของคนไทยและต่างชาติ, อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 17.33% เพราะยังไม่เข้าใจเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง เท่าที่ควร, ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าใครผิดใครถูก, ต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป และอันดับ 3 ไม่มีผลกระทบ 5.33% เพราะเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน,ในต่างประเทศมีความรุนแรงมากกว่านี้

เมื่อถามว่าจากสถานการณ์การอภิปราย ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง ประชาชนคิดว่าจะทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้หรือไม่ พบว่า อันดับ 1 เกิดขึ้นไม่ได้ 50.56% เพราะต่างฝ่ายต่างถือประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก, มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน, อันดับ 2 ไม่แน่ใจ 32.29% เพราะความขัดแย้งมีความรุนแรงมากขึ้น, แนวทางการปรองดองยังไม่ชัดเจน, ต่างฝ่ายต่างรักพวกพ้องตนเองมากจนเกินไป และอันดับ 3 เกินขึ้นได้ 17.15% เพราะถ้าทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจัง คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสำคัญ

สำหรับความคาดหวัง ของประชาชนต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ประธานสภา ในการสร้างความปรองดองให้เกิดเป็นรูปธรรม พบว่า คาดหวังจากฝ่ายรัฐบาล อันดับ 1 ทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ ดูแลและเร่งแก้ไขปัญหาของประชาชนก่อน 56.79%, อันดับ 2 ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย ข้อบังคับ กฎระเบียบของรัฐสภา และสังคม 22.72% และอันดับ 3 ควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และควรใช้เหตุผลให้มากกว่าใช้อารมณ์ 20.49%

คาดหวังจากฝ่ายค้าน คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ/ช่วยกันหาทางออกเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้จริง 43.70%, อันดับ 2 ควรใช้เหตุผลให้มากกว่าใช้อารมณ์ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงรัฐบาล อย่างใจกว้างและเป็นธรรม 28.70% และอันดับ 3 เคารพกฎข้อบังคับ และกติกาของสภา ไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม 27.60% และคาดหวังจากประธานสภา อันดับ 1 ต้องมีความเป็นกลาง ยุติธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 51.26%, อันดับ 2 ทำหน้าที่โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ 25.73% และอันดับ 3 ต้องมีความเด็ดขาด ใช้อำนาจของประธานสภา อย่างถูกต้องและเหมาะสม 23.01%

เมื่อถามว่าประชาชนคิดว่า “ทางออกของความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นในรัฐสภาควรแก้ไขอย่างไร พบว่าอันดับ 1 ให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างจริงจัง และเคารพในข้อบังคับ กฎระเบียบ ของรัฐสภา 46.09%, อันดับ 2 เปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ใช้เหตุผล ใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ 36.02% และอันดับ 3 ถอน พ.ร.บ.ปรองดอง ออกไปก่อนเพื่อพิจารณาใหม่ให้รอบคอบก่อนนำเสนอในที่ประชุม 17.89%
กำลังโหลดความคิดเห็น