“คำนูณ” เห็นต่าง อยากให้เดินหน้าพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ชี้จะได้รู้ว่า ส.ส.แกนนำแดง ส.ว. รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ มีมติอย่างไรกับเรื่องนี้ หวังคนเสื้อแดงได้ตาสว่าง เชื่ออาจเป็นจุดของการปรองดองที่แท้จริง หากมวลชนที่บริสุทธิ์ใจ ตื่นตัวอย่างเป็นตัวของตัวเอง
วันที่ 28 พ.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายคำนูณกล่าวว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนี้ รัฐบาลไม่กล้าหักหาญผ่าน 3 วาระรวด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคนเต็มถนนแน่ ก็เลยต้องทำไปตามวาระ แล้วตนก็เชื่อว่าไม่สำเร็จ เพราะแค่ผ่านสภาวาระ 1 แปรญัติติรัฐธรรมนูญ กระบวนการของสภาทำให้เรื่องที่ควรจะจบใน 1-2 วัน สามารถยืดเยื้อเป็นวาระ 2 ได้ถึง 15 วัน แล้วทุกมาตราที่แปรญัตติ มันชวนให้ทะเลาะได้หมด แล้วมันมีความแหลมคม ไม่ใช่เฉพาะประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย แต่เป็นประชาธิปัตย์ กับเพื่อไทย 1 เพื่อไทย 2 คราวนี้ผลการลงมติจะเป็นอย่างไร ความปั่นป่วนในวาระ 2 ในชั้นสภาผู้แทนราษฎรมันจะเกิดขึ้น มันจะทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในชั้น ส.ส.ร. เพิ่มความขัดแย้งยิ่งขึ้น
มันไม่จบในชั้นสภาผู้แทนราษฎร มาที่ชั้นวุฒิสภา ตนก็จะเต็มที่ แพ้ชนะก็แล้วแต่ แล้วถ้าผ่านส.ว.ไปได้ ก็ไม่จบ เพราะถึงตนไม่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ก็ต้องยื่น หรือ ส.ว.กลุ่มอื่นก็ต้องยื่น เพราะมันโจ่งแจ้งเหลือเกิน ซึ่งกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ตัดสินแทนศาล แต่มันชัดเจนว่าร่างพรบ.ที่เมื่อผ่านสภาฯ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า หา กส.ส.-ส.ว.มีข้อสงสัย สามารถลงชื่อเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ว่ามันขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งมันแตกต่างจากกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 291 ซึ่งคนยื่นไปมันยังก้ำกึ่งอยู่ว่าศาลจะรับหรือไม่ เพราะในตัวบทไม่ได้เขียนให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่วินิจฉัยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม แต่อันนี้ศาลรัฐธรรมนูญรับแน่ แล้วจะวินิจฉัยอย่างไร ไม่ก้าวล่วง แต่มันค่อนข้างชัด แล้วถ้าศาลตีตกไป จะเอามวลชนเสื้อแดงออกมาหรืออย่างไร มันก็จะเกิดการต่อสู้ทางมวลชนจากทุกฝ่าย แล้วรัฐบาลหวังจะอยู่ได้ครบวาระหรือ
เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเอาเข้ามาทำไมให้เกิดความเสี่ยง ไม่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ เพราะแค่มวลชนเสื้อแดงเองก็ตอบคำถามลำบากแล้ว ฉะนั้น พ.ร.บ.นี้อาจถูกแช่แข็งในสภาผู้แทนราษฎร ตรวจรายชื่อซัก 2-3 เดือน แล้วบรรจุไว้ ค้างไว้ซัก 2 ปี แต่อย่าลืมมวลชนที่ต่อสู้เพื่อพรรคเพื่อไทย เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงวันนั้นเขาจะมีชีวิตอย่างไร เลือกตั้งท้องถิ่นหลายแห่งก็ไม่เอาเพื่อไทยแล้ว แต่ไปเลือกแดงอีกกลุ่ม ฉะนั้นความรู้สึกที่ว่าเขาจะมีปัญหากันเอง เป็นความล้ำลึก แล้วต้องดูกันยาวๆ สิ่งที่ทำออกมาจะเป็นปัญหาใหญ่หลวงในอนาคต
ด้าน รศ.ดร.พิชาย กล่าวฝากถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าอยากให้ทบทวน แล้วถอน พ.ร.บ.นี้ออกไป ลองพิจารณาวิเคราะห์ให้ชัดเจน เพราะการเสนอครั้งนี้จะเป็นการทำผิดซ้ำซาก ทำให้เกิดความหายนะของประเทศ แล้วนอกจากจะเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม ยังเป็นการช่วยให้นักการเมืองเข้ามาโกงกินประเทศชาติต่อไป อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนว่าจะให้นักการเมืองเหล่านี้ปู้ยี่ปู้ยำประเทศต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
นายคำนูณกล่าวว่า แต่ตนมองไม่เหมือนคนอื่น ตนอยากให้เสนอ พ.ร.บ.ปรองดองมาเลย ขอความกรุณาด้วย วันที่ 30 พ.ค.นี้ ช่วยเสนอญัตติ ให้เลื่อนระเบียบวาระเรื่องเร่งด่วนที่ 27 ขึ้นมาพิจารณาก่อนเลย จะทันวันที่ 30 หรือ 31 ให้พิจารณาเถอะ ไม่ได้ท้าทาย แต่อยากเห็นจริงๆ ว่ารัฐสภาไทย สภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย และวุฒิสภาขั้นต่อๆไป จะมีมติอย่างไรกับร่างพรบ.ฉบับนี้ และก็อยากเห็นว่าเมื่อผ่านหมดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร แล้วพี่น้องประชาชนจะมีความเห็นอย่างไร ถ้ารัฐสภา-ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติอย่างนั้น ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ท่านจะปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปบนหนทางนี้ หรือจะต่อสู้ด้วยวิธีสันติหรือด้วยยุทธวิธีอื่นๆ เพื่อให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากทิศทางนี้หรือไม่
ไม่อยากให้เรื่องนี้คาราคาซัง อย่าถอน อย่าคาไว้ แล้วระหว่างกระบวนการเราจะได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง คนเสื้อแดงเอง ส.ส.เสื้อแดงที่เป็นแกนนำ นปช. ตนก็อยากเห็นท่านว่าเสนอมาอย่างนี้ เวลาลงมติจะลงอย่างไร แล้วมติพรรคให้ท่านลงอย่างไร แล้วท่านจะตัดสินใจอย่างไร ตนเชื่อว่ามวลชนเสื้อแดงที่ตื่นตัวจะมีอิทธิพลบทบาทต่อสังคมไทยในอนาคต แต่ต้องตื่นตัวอย่างเป็นตัวของตัวเอง ท่านอาจบอกว่าตาสว่างกับเรื่องบางเรื่อง ก็ว่ากันไป
แต่ตนก็อยากเห็นมวลชนตาสว่างกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และเพื่อไทย สิ่งเหล่านี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างไรอย่างหนึ่งก็ได้ เชื่อว่าประเทศมีวิถีชีวิตของตัวเอง มวลชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในที่สุดก็จะมีวิถีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง จุดนั้นอาจเป็นจุดของการปรองดองที่แท้จริง อยากให้กระบวนการนี้เดินหน้าโดยเร็ว เราอยู่ตรงจุดนี้มานานเกินพอแล้ว จะเอายังไงก็เอาให้เสร็จไปสักอย่างหนึ่ง