“เทพมนตรี” ชำแหละยูเนสโกไม่บรรจุวาระปราสาทพระวิหารเข้าสู่การประชุมในปีนี้ แสดงให้เห็นว่าสมรู้ร่วมคิดกับกัมพูชา-ศาลโลก เชื่อไทยโอกาสเสียดินแดนสูงมาก ด้าน “ปานเทพ” ชี้ “รัฐบาลปู” สัมพันธ์ดีกับเขมร ถ้ารักประเทศจริงต้องขอให้ถอนเรื่องจากศาลโลก แต่กลับนิ่งเฉย ลั่นต้องร่วมรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันที่ 14 พ.ค. นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV พูดคุยกันในหัวข้อ “คดีปราสาทพระวิหาร” ดำเนินรายการโดย นายเติมศักดิ์ จารุปราณ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวนำว่า ทูตวีรชัย พลาศรัย ให้สัมภาษณ์เรื่องคดีปราสาทพระวิหาร ว่าไม่ควรมองกันที่แพ้ชนะ เพราะบนโลกแห่งความจริงไม่มีอะไรเป็นขาวหรือดำ เราไม่ควรโดดไปสู่บทสรุปว่าเราจะชนะหรือแพ้แน่ เพราะมีความเป็นไปได้หลายทางมาก การมองว่าแพ้ชนะไม่เป็นประโยชน์ต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา แต่ควรมองว่าเรานำปัญหาที่มีไปสู่การแก้ไขอย่างสันติ ไม่ให้เกิดการสู้รบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดมองว่ามันเป็นหนทางแห่งสันติภาพ
นายเทพมนตรีกล่าวว่า มองความเป็นจริงถ้ากัมพูชายุติธรรมกับเราจะไม่ทำแบบนี้ แล้วเราจะไปหงอโดยเอาสันติภาพเป็นตัวตั้ง มันไม่ถูก เราผิดตั้งแต่สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังศาลโลกพิพากษาปี 2505 รัฐบาลเรียกประชุมเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา ตนมองอย่างนักประวัติศาสตร์ หลักฐานมันขัดแย้งกัน วันที่ 6 ก.ค. เราออกคำข้อสงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับคำพิพากษา แต่แค่กลางเดือนกรกฎาคม เรากลับไปปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการกั้นรั้วลวดหนาม
ตนอ่านเอกสารของอังรี โรแลง (ทนายความฝ่ายไทยเมื่อปี 2505) บอกว่าเป็นไปได้ไหม ที่ไทยจะสู้ต่อได้ เขาจะเตรียมทนายที่มีฝีมือให้ แต่ฝ่ายรัฐบาลดันไปประชุมแล้วบอกว่าต้องทำตาม เพราะเป็นสมาชิกสหประชาชาติ วันนั้นกับวันนี้มันคล้ายกันว่าอาจมีการเมืองระหว่างประเทศอะไรหรือเปล่า
แล้วข้อที่เราจะนำไปสู้ได้ ก็คือ สมเด็จฯ สีหนุ พอใจที่ไทยล้อมรั้วลวดหนาม เมื่อครั้งที่เสด็จลงมาชักธง แล้วบอกว่าไทยทำตามคำพิพากษาแล้ว แต่ไฉนเลยเราจึงกลับไปพร้อมกับเขมรให้ศาลตีความอีก นี่คือสิ่งที่กระทรวงต่างประเทศไม่สู้
ย้อนไปกรณีกรมพระยาดํารงราชานุภาพไปที่ปราสาทพระวิหารแล้วยอมรับ น่าสังเกตว่าสังคมไทยไม่กล้าพูดว่าท่านไม่มีอำนาจในการยอมรับแผนที่ และการปักปันเขตแดนเลย
นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า ศาลบอกให้เราส่งเอกสาร 2 ครั้ง และคาดว่าจะตัดสินปลายปี 2555 ไฉนเลยยูเนสโก้ดันไม่มีวาระประชุมปราสาทพระวิหารในปีนี้ที่รัสเซีย โดยให้เหตุผลว่าเพราะต้องรอให้ศาลตัดสิน คิดตื้นๆดูเหมือนยูเนสโกชะลอให้เรา แต่จริงๆ คือยูเนสโกร่วมมือกับศาล กับเขมร รู้เห็นเป็นใจกัน แล้วมีเสียงออกมาว่าเขมรจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปีหน้าด้วย
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ดันโพล่งออกมาเมื่อ 12 ต.ค. ว่าเราจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก เวลาศาลตัดสิน ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม คนที่จะมาบังคับ คือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเขมรกำลังจะเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์ของคณะมนตรีความมั่นคงฯอย่างถาวร ตกลงเราเป็นพี่ที่ถูกน้องรังแกตลอดเวลา โดยไม่ตอบโต้เลย
นายเทพมนตรีกล่าวด้วยว่า ฝากบอกคนที่กำลังจะไปศาลโลก (แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินเตรียมเดินทางไปศาลโลก 21 มิ.ย.) ด้วยความเป็นห่วง เพราะหากไปชุมนุมยื่นหนังสือคัดค้านที่กรุงเฮก จะขัดต่อเทศบัญญัติ ซึ่งกฎที่นี่เข้มงวด อาจถูกตำรวจจับแล้วถูกแบล็กลิสต์ไม่ให้เข้ายุโรปอีก ทางที่ดีต้องขออนุญาตเทศมนตรีก่อนว่าจะให้ชุมนุมได้กี่วัน หรือเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะยื่นหนังสือผ่านเอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮก ว่าเขาจะอำนวยความสะดวกให้หรือเปล่า ตนเห็นด้วยว่าต้องมีปฏิกิริยาจากภาคประชาชน แต่การไปต้องชัดเจน รัดกุม
นายเทพมนตรีกล่าวอีกว่า นายกฯ พูดคนเดียว มีสิทธิ์มีเสียงในต่างประเทศมากกว่าประชาชนล้านคน แต่ไม่เห็นนายกฯ ขึงขังปกป้องอธิปไตยและดินแดนเลย หากไทยเสียดินแดนต้องโทษทุกคนที่ไม่สามารถรักษาแผ่นดินได้ และปล่อยให้คนชั่วมาครองแผ่นดิน
แล้วรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบ จากข้อมูลที่ได้มา ไล่ตั้งแต่รัฐบาลชวน ทักษิณ สุรยุทธ์ สมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์ รัฐบาลนี้ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะไม่มีฝีมือในการบริหารประเทศ ทำให้ต้องเสียดินแดนไป ทำประเทศอับอายไปทั่วโลก
ด้าน นายปานเทพกล่าวว่า ตามปกติคนที่สู้คดีอย่างน้อยต้องมั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะได้ แต่กรณีขึ้นศาลโลกครั้งนี้มันไม่ใช่แพ้ชนะ มีแต่แพ้เท่าเดิม กับแพ้หนักกว่าเดิม ถึงเวลาเสียดินแดนใครจะรับผิดชอบ ทหารก็จะบอกว่าปฏิบัติตามเอ็มโอยู 43 นายอภิสิทธิ์ก็จะบอกว่าไม่ได้ห้ามให้ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ ซึ่งถ้าพูดอย่างนั้นจริง ถือว่าไม่รับผิดชอบ เพราะนายกฯกำกับทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม แค่ไม่ห้ามไม่ได้ แต่ต้องสั่งให้ทำ ไม่ควรปัดความรับผิดชอบ ทหารก็เช่นกัน มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยชาติ จะอ้างสันติวิธีไม่ได้
นายอภิสิทธิ์เคยพูดว่าจะใช้ทั้งการทูต การทหาร ผลักดันกัมพูชาออกจากประเทศไทย ซึ่งน่าเสียดายที่นายอภิสิทธิ์พลาดโอกาสไปตอนนั้น แน่นอนรัฐบาลเก่าความสัมพันธ์กับกัมพูชาไม่ดี ซึ่งมาตรการผลักดันที่เหมาะสมที่สุดในตอนนั้นก็คือทางการทหาร
แต่สำหรับรัฐบาลชุดนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา ซึ่งมาตการทางการทูตสำคัญกว่าทางทหาร ถ้ารัฐบาลรักประเทศจริง สิ่งที่ต้องทำคือขอให้กัมพูชาถอนเรื่องจากศาลโลก เอาปราสาทประวิหารออกจากมรดกโลก แล้วมาคุยกันใหม่ ไม่ใช่ว่าไปยอมรับสู้แล้วก็แพ้อีก ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้