“สุริยะใส” ระบุการชุมนุม 21 เม.ย. ของกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณฯ หากคนเยอะจะน่ากลัวมากสำหรับรัฐบาล เพราะเป็นการรวมกลุ่มของประชาชนจากข้างล่าง ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักเพื่อไทย ด้าน “ปานเทพ” วิเคราะห์พลังพันธมิตรฯ ไม่ได้หายไปอยู่กับปชป. ไม่อย่างนั้นคงตั้งมวลชนขนาดใหญ่เองได้แล้ว มั่นใจยังเป็นกลุ่มชุมนุมพลังหลัก แต่หากกลุ่มอื่นเคลื่อนไหวประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องน่ายินดี
วันที่ 20 เม.ย. เมื่อเวลา 20.30 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ดำเนินรายการโดยนายเติมศักดิ์ จารุปราณ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวถามว่า คิดเห็นอย่างไรที่มีสื่อมองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ไร้พลัง นายสุริยะใสกล่าวว่า ก่อนจะมีพันธมิตรฯ เมื่อปี 49 ก็อยู่ในสภาพการณ์แบบนี้ การชุมนุมต่างๆ ดูเหมือนจะไปต่อไม่ได้ ฉะนั้นเราไม่ควรมองข้ามการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ อย่างกลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน ในวันพรุ่งนี้ (21 เม.ย.) จากข้อมูลบอกว่าเป็นการระดมพี่น้องที่เสียหายจากการบริหารงานของรัฐบาล แล้วถ้าเดินสายตามต่างจังหวัดสักระยะ อันนี้น่ากลัว แล้วน่าคิดว่าทำไมฝ่ายรัฐบาลถึงอ่อนไหวกับการชุมนุมครั้งนี้มากผิดปกติ ตนมองว่าอาจจะเพราะรัฐบาลรู้ดีถึงเสถียรภาพตัวเอง อีกทั้งจุดจบของรัฐบาลนอมินี ก็มาจากการชุมนุมของประชาชน และเผอิญมีชื่อผู้ใหญ่หลายคนในการชุมนุมครั้งนี้ เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อีกทั้งมีองคมนตรีบางท่านด้วย
ภาพรวมตอนนี้ตนว่าไม่จำเป็นต้องมีโฟกัสไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ยังไม่ใช่สถานการณ์ชี้ขาด แต่เป็นเวลาของการตีฆ้องร้องป่าวความเดือดร้อนจากการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งใครถนัดเรื่องไหนก็เดินเรื่องนั้น แล้วยิ่งกลุ่มนี้ขยับจากข้างล่าง ไม่ธรรมดา ถ้าพรุ่งนี้มาถึง 2-3 หมื่นคน จะน่ากลัวมาก เพราะรัฐบาลที่มาจากข้างล่าง แต่กลับถูกข้างล่างไล่
ไม่ใช่ฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณรวมกันไม่ติด แต่ยังไม่มีเหตุต้องรวมกันตอนนี้ พลังหลักแน่นอนยังเป็นพันธมิตรฯ เพราะมีมวลชนชัดเจน และมีประสบการณ์
นายปานเทพกล่าวว่า การชุมนุมพรุ่งนี้พันธมิตรฯไม่ได้ริเริ่ม และไม่ได้เข้าร่วมหรือเกี่ยวข้อง ที่ต้องย้ำเพราะสื่อยังพาดหัวว่าเป็นพันธมิตรฯแม้กระทั่งวันนี้ ตนสันนิษฐานว่าอาจเพราะสื่อล้มเหลวในการติดตามข้อมูล หรือไม่ก็จงใจใช้ชื่อพันธมิตรฯ เพราะถ้าคนน้อยก็จะบอกว่าเห็นมั๊ยพันธมิตรฯล้มเหลวแล้ว หรืออีกด้านก็ต้องการระดมคนให้เยอะ
ผู้จัดไม่ได้ใช้ชื่อพันธมิตรฯ แต่สื่อพาดหัวเริ่มต้นเป็นพันธมิตรฯ จนลามไปตามๆ กัน กลุ่มนี้ใช้ชื่อว่า กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน แล้วจะมีการโอนอำนาจจากนักการเมืองเหล่านี้มา ทำให้ตนนึกถึงตัวละครอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ว่าทำไมมีชื่อในนี้ตอนต้น มีกัปตันถนิต (น.ต.ถนิต พรหมสถิต) ผู้ร่วมในการนำพันธมิตรฯบุกทำเนียบฯ ทำให้นึกถึง คุณสมาน ศรีงาม และนึกถึงอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นนักคิดในเรื่องการปฏิวัติประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์
พรุ่งนี้มีการประชุมในทำนองเพื่อเรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณ เลยนึกถึงสภาปฏิวัติแห่งชาติเมื่อ 28-29 เมษายน 2530 มีการประชุมผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ จัดตั้งสภาปฏิวัติแห่งชาติขึ้น สนับสนุนการปฏิวัติประชาธิปไตยของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร และออกเป็นคำสั่งสภาปฏิวัติ เรื่องการโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ แล้วก็มีแถลงการณ์ แต่พอมาถึงประชาชน ไม่มีกระบอกปืน ไม่มีการบังคับใช้จริง นายประเสริฐถูกจับกุมพร้อมพวกรวม 14 คน ต่อมาศาลได้ยกฟ้อง วันนี้บังเอิญมีตัวละครและมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
นายปานเทพกล่าวต่อว่า สิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นได้ทุกกลุ่ม พันธมิตรฯ ไม่เคยขัดขวางกลุ่มไหนเลย เพียงอยากตั้งข้อสังเกต หลายคนบอกว่าพลังพันธมิตรฯ อ่อนแอ ไปอยู่กับประชาธิปัตย์หมดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมมีมวลชน มีทีวีตั้งหลายช่อง แต่เวลาเรียกชุมนุมกลับมีคนไม่มาก
มีตัวเลขน่าสนใจ เมื่อวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 54 คะแนนเลือกพรรคเพื่อไทย 33.4 เปอร์เซ็นต์จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ แล้วจากผลสำรวจช่วงหลังน้ำท่วม เมื่อธันวาคม 54 - มกราคม 55 คะแนนนิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ 34.7 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเล็กน้อย ถือว่าโอกาสทำโพลพลาดได้ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง แต่มีนัยยะสำคัญต่อนายอภิสิทธิ์ เลือกตั้ง ประชาธิปัตย์ได้ประมาณ 11-12 ล้านเสียง คิดเปน 24.3 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่พอหลังน้ำท่วมที่จริงควรได้แต้มเพราะพรรคเพื่อไทยบริหารน้ำล้มเหลว แต่คะแนนนิยมนายอภิสิทธิ์ กลับเหลือ 14.2 เปอร์เซ็นต์ มีนัยสำคัญมาก นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วคะแนนหายไปไหน
ตนวิเคราะห์ได้ว่า เพราะมีคนจำนวนมากคิดแบบพันธมิตรฯ แต่กาให้ประชาธิปัตย์ เพราะกลัวพรรคเพื่อไทยจะมา แต่ก็ไม่ได้ชื่นชมนายอภิสิทธิ์ คะแนนมันถึงหายไปเยอะ สรุปแล้วมีคนที่กาให้ประชาธิปัตย์แบบไม่ลังเล อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านคน ที่เป็นฐานเสียงเหนียวแน่น ซึ่งก็เท่ากับเสียงที่ได้ตอนเลือกตั้งปี 2548 ฐานเสียงเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นฐานเสียงที่เหนียวแน่น
นี่เป็นบทพิสูจน์ว่าทำไมถึงไม่มีกลุ่มไหน แม้กระทั่งกลุ่มฐานเสียงประชาธิปัตย์เมื่อออกมาแล้วมีจำนวนมาก ถ้าวิเคราะห์ตามนี้ ถ้าพันธมิตรชุมนุมรอบใหม่ จะมีประชาชนหลายกลุ่มพร้อมเข้าร่วม เพราะยังเป็นกลุ่มหลักอยู่ ไม่ได้อ่อนแอลง ถ้าไม่มีพลังแสดงว่าพลังไปอยู่ที่อื่น แต่วันนี้ไม่ปรากฎว่ากลุ่มไหนที่พยายามทำขึ้นมาแล้วสำเร็จ มีทีวีตั้งหลายช่องของประชาธิปัตย์แต่ทำไม่ได้
แล้วผลสำรวจของมูลนิธิเอเชียเมื่อปี 2553 ระบุว่าพันธมิตรฯมีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ คนเสื้อแดง 14 เปอร์เซ็นต์ แต่คนที่กลางๆประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ คือตัวชี้ขาด ถ้าความทุกข์ร้อน เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เช่นน้ำมันแพงอย่างไร้สาเหตุ ถ้าชาวบ้านรู้ว่าเพราะนักการเมืองเป็นต้นเหตุ ประเด็นจุดแป๊บเดียวก็ติด หรือรัฐบาลลุแก่อำนาจมากๆ มีความเสี่ยงเกิดขึ้นทันที เพียงแต่ว่าเชื้อเพลิงที่ยังจะพอมีพลังหัวเชื้อ หรือว่าเป็นคนสับไฟรางมันไม่มีกลุ่มอื่นที่มีพลัง พันธมิตรฯเลยยังต้องแบกรับภาระนี้อยู่ ไม่ใช่เพื่ออวดอ้างตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่มีกลุ่มใดที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ แต่ถ้าพรุ่งนี้ (กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการฯ) สำเร็จก็ถือว่ามีพลังใหม่เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องน่ายินดี ที่จะนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง