สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนแถลงจี้ กนอ.-กระทรวงอุตสาหกรรมเพิกถอนใบอนุญาต “บีเอสที” หลังเกิดเหตุระเบิดไฟไหม้จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมจี้หน่วยงานรัฐจ่ายชดเชยเยียวยาคนงานและชุมชนมาบตาพุดในอัตราสูงสุด ตาม พ.ร.บ.แรงงาน-เงินทดแทน
หลังจากเกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ในโรงงานของบริษัทบีเอสที อิลาสโตเมอร์ส ในเครือบริษัท กรุงเทพ
ซินธิติกส์ จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดยนายศณีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “กนอ.ต้องเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานบีเอสทีของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์
ที่ระเบิดในมาบตาพุด”
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานบีเอสที อิลาสโตเมอร์ส ของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง จนทำให้มีคนงานเสียชีวิตไป 5 รายและบาดเจ็บไปกว่า 70 คน เมื่อบ่ายวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมิใช่เป็นเหตุครั้งแรกของบริษัทนี้ เพราะเมื่อวันที่ 5-6 มีนาคม 2552 ก็เคยเกิดสารเคมีรั่วไหลขณะขนถ่ายสารเคมีขึ้นมาจากท่าเรือมาบตาพุดแล้วครั้งหนึ่ง
จากการตรวจสอบของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนพบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างไทย-สิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์ในการนำมิกซ์ซีโฟร์จากโรงงานผลิตโอเลฟินส์ มาสกัดหรือแปรรูปให้เป็นอนุพันธ์ซีโฟร์ต่างๆ และราฟฟิเนท-1 เช่น สาร 1,3 บิวทาไดอีน สารเอ็มทีบีอี และบิวทีน-1 และมีสารซี 4-แอลพีจี และสาร 1,2 บิวทาไดอีน นอกจากนี้ยังได้มีการขยายธุรกิจผลิตยางสังเคราะห์ E-SBR (Emulsion Styrene-Butadiene Rubber) และยางสังเคราะห์ BR (Polybutadiene Rubber) ภายใต้ชื่อ บริษัท บีเอสทีอิลาสโตเมอร์ จำกัด ด้วย
เมื่อโรงงานดังกล่าวเกิดการระเบิดและไฟไหม้ จะก่อและแพร่กระจายมลพิษออกมามากมายประกอบไปด้วย 1) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) 2) ฝุ่นละอองรวม (TSP) 3) สาร Non Methane Hydrocarbon (NMHC) 4) สาร Methyl Tertiary Butyl Ether (MTBE) 5) สาร Total Hydrocarbon (THC) 6) สาร 1,3 บิวทาไดอีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง 19 ชนิดตามประกาศของกรมควบคุมมลพิษ
ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้ขอขยายโรงงานและการผลิตเพิ่มเติมโดยได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งจากเอกสารรายงาน EHIA ดังกล่าวถูกคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) ท้วงติงความไม่สมบูรณ์หลายประการ และรูปธรรมที่เกิดขึ้นจากการระเบิดและไฟไหม้จนทำให้คนงานต้องมาเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากนี้ ชี้ให้เห็นว่าโรงงานดังกล่าวไม่มีความเหมาะสมที่จะก่อสร้างหรือขยายกิจการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้อีกต่อไป ซึ่งหน่วยงานภาครัฐผู้กำกับดูแลและให้ใบอนุญาต คือ กนอ. และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานดังกล่าวโดยทันที เพื่อปกป้องวิถีชีวิตของชาวบ้านใน 30 กว่าชุมชนต่างๆ ในพื้นที่
มาบตาพุดและคนงานต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อการจัดการโรงงานที่ผิดพลาดล้มเหลวต่อโรงงานอื่นๆ ต่อไป รวมทั้งบริษัทที่ให้ใบรับรอง ISO 14001 และ ISO/OHSAS 18001 แก่
โรงงานดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาตรวจสอบและทบทวนการให้ใบรับรองดังกล่าวด้วย รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมก็จะต้องทบทวนการเป็นสมาชิกในโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry ของโรงงานดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐดังกล่าวต้องกำกับดูแลให้บริษัทดังกล่าวจ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับคนงานที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งค่าตกใจให้กับชาวชุมชนมาบตาพุดโดยรอบในอัตราสูงสุดตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ประกอบพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 กำหนดด้วย
อนึ่ง สมาคมฯ จักได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการและจี้ให้ กนอ. และ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรมเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานดังกล่าวต่อไป รวมทั้งจักยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่สมาคมร่วมกับชาวบ้าน 43 รายได้ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐดังกล่าวต่อศาลปกครองแล้วต่อไปด้วย